อาหารฟังก์ชั่น โภชนเภสัชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
(Function Foods, Nutraceticals and Dietary
Supplements)
ผศ. ดร. สิริธร ศิริอมรพรรณ
ภญ. ผศ.สุนีย์
จันทร์สกาว
บทนำ
ปัจจุบันนี้อาหารมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ มีการคิดค้นอาหารใหม่ๆ
ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในด้านรสชาติ ความทันสมัย
ความสะดวกสบาย และที่สำคัญด้านคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชั้นสูงและการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ทางอาหารและโภชนาการมีมากขึ้น
ทำให้มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นแล้วผู้บริโภคเองก็ให้ความสำคัญและใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้น
และรู้จักที่จะเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย
ทำให้นักวิจัยต่างๆเกิดความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าวิจัยอาหารเพื่อสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย
และมีการพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น
จึงทำให้อาหารเพื่อสุขภาพในท้องตลาดปัจจุบันนี้มีมากมายรูปแบบแตกต่างกันออกไป
ส่งผลทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพในประเทศที่พัฒนาทั่วโลก
มีมูลค่าทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างมาก ดังแสดงในตารางที่ 1
มูลค่าทางการตลาด (หน่วย พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ) ต่อปี
ประเทศ อาหารสุขภาพเฉพาะโรค อาหารสุขภาพทั่วไป
ยุโรป
1.79 4-8
สหรัฐอเมริกา
1.80 15
ญี่ปุ่น 2.13 14
ออสเตรเลีย
0.05
NA
ร่วมทั้งหมด
5.77 33
แหล่งข้อมูล
: จากเอกสารอ้างอิง
Young.
2003
สำหรับประเทศไทย มีการนำเข้าอาหารฟังก์ชั่น
(Function Food) เป็นมูลค่ามหาศาลและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
บทนี้จะกล่าวถึงความหมายของผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ
สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและชนิดที่พบในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ
ตลอดจนประเภทของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพที่ใช้ในการป้องกันหรือบำบัดโรคต่างๆ
เช่น หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โรคฟัน และการใช้อาหารเพื่อสุขภาพในการควบคุมน้ำหนัก
เป็นต้น
ความหมายของอาหารฟังก์ชั่น
โภชนเภสัชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ปัจจุบันมีผู้พยายามให้คำนิยามความหมาย และแยกความแตกต่างของอาหารฟังก์ชั่น
(Function Food) หรือ (Functional Food,) โภชนเภสัชภัณฑ์ (Nutracetical)
และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplement)
พอสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้
อาหารฟังก์ชั่น
(Function
Food)
1. อาหารฟังก์ชั่น (Function Food) หมายถึง อาหารที่ประกอบด้วยสารก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย
นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันและลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคต่างๆ (Goldberg. 1994)
2.
อาหารฟังก์ชั่น (Function Food) หมายถึง
อาหารที่สามารถแสดงผลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างน้อยหนึ่งอย่างหรือมากกว่าหนึ่ง
นอกเหนือจากจากคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐานของสารอาหารทั่วไป
ซึ่งส่งผลทำให้สามารถป้องกันและ/หรือลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ได้ (Diplock
et al. 1999)
3. นอกจากนี้ The
Japanese Ministry of Health’s Functional Food Study
Committee ได้ให้นิยามว่า อาหารฟังก์ชั่น หมายถึง
อาหารที่ใช้เพื่อสุขภาพเฉพาะทาง (young. 2003)
กล่าวโดยสรุป “อาหารฟังก์ชั่น” เป็นการบูรณาการขึ้นในเชิงวิทยาศาสตร์หลายสาขา ได้แก่ โภชนาการ
เทคโนโลยีการอาหาร สุขภาพและการแพทย์
เพื่อการนำไปสู่สุขภาพที่ดีของผู้บริโภคโดยเป็นการใช้อาหารในการป้องกันและรักษาโรค
ดังนั้น “อาหารฟังก์ชั่น” (Functional
Food)
จึงหมายถึงอาหารที่มีคุณภาพทางโภชนาการมากกว่าอาหารปกติที่บริโภคกันทั่วไปโดยประกอบด้วยสาระสำคัญในอาหาร
เมื่อรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกายแล้วสามารถออกฤทธิ์ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย
ในแง่ของการช่วยป้องกันหรือลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
แต่ไม่ใช่เพื่อการรักษาเหมือนยารักษาโรค
ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชั่น (Function
Food Product) อาจเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันที
หรือเป็นอาหารดัดแปลง
หรือเป็นอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชั่นนั้นทำโดยการเติมสารอาหารหรือสารอื่นๆ
ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลงไปในอาหารปกติ
โดยคำว่า “สารอาหาร” ในที่นี้จะหมายถึงพวกคาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินต่างๆ ส่วน “สารอื่นๆ
ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย”
หมายถึงพวกสารด้านอนุมูลอิสระหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ ได้แก่
แคโรตีนอยส์ในผักใบเขียวและผักสีเหลืองสีส้ม ฟลาโวนอยส์และลิวโคปีนในมะเขือเทศ หรือไอโซฟลาโวนส์ในถั่วเหลือง
เป็นต้น
โภชนเภสัชภัณฑ์ (Nutraceutical)
โภชนเภสัชภัณฑ์ (Nutraceutical)
ยังไม่มีการบัญญัติคำนิยามอย่างเป็นทางการ โดยความหมายใกล้เคียงกับคำว่า
อาหารฟังก์ชัน (Funcktion Food) หรือ (Functional
Food) แต่มักจะใช้ในทางการค้าหรือเชิงพาณิชย์มากกว่า
แต่หกจะพิจารณษตามรากศัพท์ “โภชนเภสัชภัณฑ์” (Nutraceutical) เป็นคำที่มาจากคำว่า “nutritional”
ซึ่งหมายถึง “โภชนาการ” และ
“pharmaceutical” หมายถึง “ยา” ซึ่งสื่อถึงอาหารที่ทำหน้าที่เป็นยา
โดยเป็นสารสกัดมาจากพืชสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ อาจเป็นพวกสารอาหารต่างๆ เช่น
วิตามิน เกรือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันโอเมก้า 3 สารพฤกษเคมี สมุนไพรสกัด
เป็นต้น
ซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหรือทางการแพทย์ในด้านการป้องกันและรักษา
โภชนเภสัชภัณฑ์เสริมอาหารคือ จะไม่เป็นเพียงแค่อาหารเสริม
แต่ยังให้ผลในการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆอีกด้วย
นอกจากนี้โภชนเภสัชภัณฑ์ยังอยู่ในรูปของอาหารที่รับประทานกันโดยทั่วไป (conventional
food)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplement)
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หมายถึง
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสารสกัดสาระสำคัญจากพืชหรือสัตว์
จะมีลักษณะเข้มข้นและถูกนำมาผลิตในลักษณะที่คล้ายคลึงกับยา แต่ไม่ใช่ยา เช่น
ในรูปของแคปซูล ผง ของเหลว เจล หรือในรูปอัดเม็ด
กลุ่มสาระสำคัญในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เช่น วิตามิน เกลือแร่
กรดอะมิโนชนิดต่างๆ กรดไขมันโฮเมก้า 3 สารต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดจากสมุนไพร สารต้านมะเร็ง
สารต้านแบคทีเรียและไวรัส และสารช่วยระบบทางเดินอาหาร เช่น ใยอาหาร โพรไบโอติก
และแบคทีเรียลำไส้ เป็นต้น โดยมุ่งหวังฤทธิ์การต่อต้านและป้องกันโรคต่างๆ ที่สำคัญในร่างกายซึ่งสามารถรักษาโรคได้
สารต้านออกฤทธิ์ทางชีวภาพในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
ในสิ่งแวดล้อม มีสารมลพิษ สารเคมี รังสี
และอนุมูลอิสระที่มีผลกระทบต่อการทำงานของสารพันธุกรรม
และทำให้เกิดความเสื่อมสภาพและโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง เอดส์ การเสื่อมสภาพของเซลล์
ความชรา โรคข้ออักเสบ ฯลฯ
นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยผลกระทบทางชีวภาพและพยาธิสภาพที่เกิดจากสารพิษและกลไกในการทำลายเซลล์มานานแล้ว
และได้พบว่าการเกิดโรคต่างๆ ดังกล่าวมีสาเหตุและกลไกมาจากการเพิ่มของอนุมูลอิสระ
การเพิ่มของปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการลดของสารต้านอุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์
ดังนั้น
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารแอนติออกซิแดนท์ที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้และพบในพืชอาหารและพืชสมุนไพรจึงมีความสำคัญมาก
สารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidants)
สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนติออกซิแดนท์ หรือสารต้านออกซิเดชันคือสารที่ทำหน้าที่ต่อต้านหรือยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน
สารเหล่านี้อาจพบในธรรมชาติ เช่น วิตามินซี วิตามินอี หรือเบต้า-คาโรทีน เป็นต้น
หรือเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหาร เช่น BHA,BHT
และ gallate เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้จะทำหน้าที่ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันโดยทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายคน
เพื่อป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลต่างๆ
ที่อาจก่อผลเสียต่อร่างกาย
อนุมูลอิสระ (free radicals)
เป็นสารที่มีอะตอมหรือหมู่อะตอมหรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยว(single หรือ unpaired electron) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย
อิเล็กตรอนไร้คู่นี้อาจมีหนึ่งตัว หรือหลายตัวหนึ่งอนุมูลก็ได้
ปกติอะตอมหรือโมเลกุลที่เสถียรจะต้องมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นคู่ๆ เสมอ
หากอิเล็กตรอนขาดหรือมากกว่าเดิมเพียงหนึ่งตัว
อะตอมหรือโมเลกุลจะว่องไงมาก ไม่อยู่นิ่ง
หาทางจับหรือทำปฏิกิริยากับอะตอมของธาตุอื่นเสมอ
อนุมูลอิสระธรรมชาติที่สำคัญมาคือออกซิเจน ซึ่งมีมากมาย(21%)
ในบรรยากาศและอนุมูลไฮดรอกซิล(OH)
อนุมูลอิสระมีช่วงอายุสั้นมากเพียงหนึ่งในล้านวินาที
หรืออาจมีชีวิตยืนยาวถึงแรมปีก็ได้ อนุมูลอิสระมีประโยชน์ทางชีวภาพ
ในเม็ดเลือดขาวในการทำลายสารแปลกปลอมและเชื้อโรคแต่ถ้าอนุมูลอิสระมีมากเกินไปก็อาจเป็นโทษต่อเซลล์ได้
เช่น ทำให้มีการอักเสบและเซลล์ตายหลังจากมีการติดเชื้อแล้ว เป็นต้น
อนุมูลอิสระมีความว่องไวมากทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในการรวมตัวกับสารประกอบ
เช่น โปรตีน ไขมัน กรดนิวคลีอิก การกรทบของอนุมูลอิสระต่อชีวโมเลกุล
จะทำให้มีการทำลายและสูญเสียโครงสร้างทางเคมี แลพหน้าที่ทางชีวภาพของเซลล์
มีการเสื่อมสภาพและการทำลายของเซลล์และเนื้อเยื่อ
เกิดความเป็นพิษเรื้อรังและพยาธิสภาพได้ทีหลัง เช่น ผนังเส้นเลือดแข็งตัว
โรคหัวใจขาดเลือด และโรคต้อกระจก (ไมตรี และคณะ 2548)
สารต้านอนุมูลอิสระ
หรือสารต้านออกซิเดชันเป็นกลุ่มสารที่เมื่อให้ปริมาณต่ำแก่สารออกซิแดนท์ (oxidants, oxidizable substances)
แล้วให้ผลยับยั้งหรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอย่างมีนัยสำคัญ
ร่างกายมนุษย์สามารถผลิสารต้านอนุมูลอิสระได้ปริมาณหนึ่ง
สารเหล่านี้ได้แก่เอนไซม์และโปรตีนที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น superoxide
dismutase (SOD) catalase (CAT) glutathione peroxidase
(GPx) glutathione (GSH) สารเหล่านี้อาจมีในธรรมชาติ เช่น ในพืชผัก ผลไม้ เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญได้แก่
วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินอี วิตามินซี วิตามินเอ และเบต้า-คาโรทีน
รวมทั้งโคเอมไซม์ ซีลีเนียม ทองแดง แมงกานีส
และเหล็กหรือสารเคมีที่ใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหาร เช่น BHA BHT gallate เป็นต้น
สารต้านอนุมูลอิสระที่มาจากธรรมชาติสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
กลุ่มที่เป็นสารอาหารและกลุ่มที่ไม่ใช่สสารอาหาร
สารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสารอาหาร
ที่มีความสำคัญได้แก่ วิตามินอี
วิตามินซี และเบต้า-คาทีน หรืออาจเรียกว่า
โพรวิตามินเอ เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ในทางเดินอาหาร วิตามินซีและเบต้า-คาโรทีน ที่มีความสามารถในการกำจัด single oxygen ได้ดี
วิตามินอีและเบ้า-คารทีนมีความสามารถในการป้องกันปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ถูกกระตุ้นโดยอนุมูลอิสระ
วิตามินทั้งสามชนิดนี้อาจทำหน้าที่ตามลำพังหรืออาจทำหน้าที่ร่วมกันในการป้องกันปฏิกิริยาจากอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ใช่สารอาหาร
ในพืชผัก ผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินหรือเบต้า-คาโรทีนแล้ว ยังมีสารอื่นที่เรียกว่าไฟโตเคมิคอล
ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้และช่วยในการป้องกันโรค
เช่น โรคมะร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสารประเภทฟีนอล
ปัจจุบันได้มีการศึกษาพบว่าสารกลุ่มโพลีฟีนอลหลายชนิดมีความสามารถเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายได้
ไฟโตคมิคอล (phytochemicals)
ไฟโตเคมีคอลเป็นสารประกอบที่ไม่ใช่สารอาหาร
พบในพืชที่มีสี กลิ่น และสารพิษล่อแมลงในธรรมชาติ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 3 กลุ่มดังนี้ ( Johnson and Williamson 2003)
1.
สารประกอบฟินอลลิค
(Phenolic compounds) ได้แก่ ไฟโตเอสโตเจน (phytoestrogen) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)
2.
กลูโคซิโนเลต (Glucosinolate)
3.
แคโรทีนยด์ (Carotenoids)
ทั้งนี้สารประกอบไฟโตเคมิคอลอาจถูกจำแนกเป็นสารประกอบย่อยได้อีกมากมาย
ไฟโตเอสโตเรจน (phytoestrogens)
ไฟโตเอสโตเรจน
(phytoestrogens) เป็นสารธรรมชาติที่ได้จากพืช
ในสมบัติทางเคมี เป็นสารชนิดฟีนอล ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่
คือ ไอโซฟลาโวน และ ลิกแนน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.ไฟโตรเอสโรเจนและความเป็นแอนติออกซิแดนท์
เนื่องจาก isoflavones เป็นส่วนหนึ่งของสารโพลีฟีฟอลชนิดฟลาโวนอยด์
และมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ด้วย ตามหลักการโดยทั่วไป
สารโพลีฟีนอลชนิดฟลาโวนอยด์สามารถเป็น reducing agent ที่ดี คือ
สามารถให้อิเล็กตรอนแก่สารอื่นได้
สารเคมีจากพืชกลุ่มนี้สามารถเป็นตัวให้อิเล็กตรอนแก่อนุมูลอิสระได้ดี
โดยให้ผ่านไนโตรเจนในวงแหวนนิวเคลียสนั้นเอง ซึ่งมาจากหมู่ –OH ซึ่งติดอยู่กับวงแหวนเบนซิน
ทำให้อนุมูลอิสระที่ได้รับหนึ่งอิเล็กตรอนเสถียรขึ้นและหมดฤทธิ์ในการที่จะทำลายโมเลกุลอื่นๆ
เมื่อให้อิเล็กตรอนแก่ free
radicals แล้วจะกลายเป็น aroxyl radical และเสถียรกว่า free
radicals
จึงไม่เหนี่ยวนำให้โมเลกุลเกิดเป็นสารอนุมูลอิสระต่อไป
ทำให้ปฏิกิริยาลูกโซ่หยุดลงได้
ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการมีฤทธิ์เป็นแอนจิออกซิแดนท์คือตำแหน่งหรือระดับการเกิด
hydroxylation บนวงแหวน B จะเห็นการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการเป็นสารที่ให้อิเล็กตรอนของสารฟลาโวนที่มีระดับการเกิดจำนวน
hydroxylation
ที่มากขึ้นด้วย ตำแหน่งของวงแหวน B ก็มีอิทธิพลต่อการมีฤทธิ์เป็นแอนติออกซิแดนท์เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง
isoflavonoids กับ flavonoids สารกลุ่ม
isoflavones หรือ isoflavonoids มีความเป็นแอนติออกซิแดนท์น้อยกว่า
flavones หรือ flavonnoids
สารโพลีฟีนอลมีความสามารถในการยับยั้งการทำงานของเอมไซม์
lipoxygenase และ cyclooxygenase
ซึ่งแนเอมไซม์ที่เกี่ยวของกับการเกิด inflammation รวมทั้งการเกิดออกซิเดชันของไขมัน สามารถทำลายสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น hydroxyl
radicals และ superoxide radical ได้
สามารถต่อต้านอนุมูลิอิสระเลือดในร่างกายของคน สารโพลีฟีนอลที่รับประทานเข้าไปสามารถช่วยลดระดับการเกิดออกซิเดชันของ
LDL คอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
วิตามินซี กับ
กลูตาไธโอน สามารถเสริมฤทธิ์แอนติออกซิแดนท์ให้สารโฟลีฟีนอล
โดยช่วยปรับเปลี่ยนโฟลีฟีนอลให้พร้อมที่จะทำหน้าที่แอนติออกซิแดนท์ได้ดียิ่งขึ้น
โดยการเสียสระให้ไฮโรเจนอะตอมให้แก่ฟีโลฟีนอล ดังนั้นการรับประทานสารฟีโลฟีนอล
ร่วมกับวิตามินซีจะให้ผลดีกว่าให้สารอย่างใดอย่างหนึ่ง
2.ไฟโตเอสโตรเจนกับการประยุกต์ใช้ให้เป็นสารเภสัชโภชนภัณฑ์
Isoflavones
genistein และ daidzein มีฤทธิ์คล้ายคลึงกับเอสโตรเจน
มันสามารถเข้าไปรวมตัวกับ estrogen receptors alpha ( ER-beta) และ beta (ER-beta)
ในเนื้อเยื่อเต้านมและรังไข่อย่างจำเพาะ และมีฤธิ์ในการกระตุ้นเอมไซม์ และ single
lransduction ของเซลล์เป้าหมาย
จึงมีการนำสารสกัดมาใช้เป็นสารเภสัสโภชนภัณฑ์
โดยทั่วไป
estrogen จะทำมาใช้ในการบำบัดอาการต่างๆ ของสตรีวัยทอง
แต่เนื่องจาก estrogen จะกระตุ้นให้เกิด cell
proliferation ของเยื้อเต้านมปกติและที่เป็นมะเร็งได้
ดังนั้นในบางกรณี แพทย์ต้องหลีกเลี่ยงฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ของเอสโตรเจน
จึงจำเป็นในการเลือกใช้ phytoestrogens เช่น
สตรีที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มีประวัติเป็นมะเร็งเยื่อบุโพงมดลูก
ตับเสื่อมหน้าที่อย่างรุนแรง โรค porphyria ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่พร่องเอมไซม์ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน
เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้
และสตรรีอาจทนอาการข้างเคียงของยาฮอร์โมนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากในปัจจุบันนี้มีสารสกัด Isoflavones ให้บริสุทธิหรือเข้มข้น
และนำมาจำหน่ายในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือโภชนเภสัชภัณฑ์เพื่อให้เป็นแอนติออกซิแดนท์ในสตรีหมดประจำเดือน
และผู้ที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม แม้ว่าจะมีการทดลองในห้องปฏิบัติการก็ตาม
แต่งานวิจัยทางคลินิกยังมีไม่เพียงพอ ยังขาดข้อมูลในด้านต่างๆ เช่น ขนาดที่เหมาะสม
เมตะบอลิสม์ เภสัชวิทยา ผลทางคลินิก ฯลฯ
ฤทธิ์ค้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จึงขาดการยอมรับทางวิชาการและทางการแพทย์ว่าได้ผลดีในคนหรือไม่
ดังนั้นจะต้องมีการวิจัยและพัฒนาต่อไป
การได้รับ Isoflavones
ในรูปแบบถั่งเหลืองจะดีกว่าหรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าได้รับสาร Isoflavones ที่สกัดแยกเดี่ยวๆ เพราะว่าในถั่วเหลืองที่สาระสำคัญทางโภชนาการจากพืช
อื่นๆอีกหลายชนิด ดังนั้น
การได้รับสารไฟโตรเอสโตรเจนในรูปแบบอาหารธรรมชาติน่าจะได้ผลดีกว่าสารพวกไฟโตรเอสโตรเจนที่เข้มข้นหรือสายเดี่ยว
3.ประโยชน์ของไฟโตรเอสโตรเจน
การศึกษาระบาดทางวิทยาพบว่า คนตะวันตกเป็นมะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก สูงกว่าคนเอเชีย โดดยมีทฤษฎีว่า
อาหารคนเอเชียบางประเภทซึ่งมีลักษณะมังสวิรัติ เช่น อาหารญี่ปุ่นน่าจะมีผลต่อการสร้างฮอร์โมนหรือกระบวนการทางชีวเคมีในเซลล์ของคน
มีหลักฐานสนับสนุนว่าสารประกอบที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งพบมากในถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืชหลายชนิด และผลเบอร์รี่ มีฤทธิ์ป้องกันมะเร็งได้
โดยมีผลต่อการสร้างฮอร์โมนเพศ ขบวนการเมตะบอลิสม์ การทำงานของเอมไซม์
การสร้าโปรตีน การเพิ่มจำนวนและการเปลี่ยนแปลงสภาพของมะเร็ง
การเจริญเติบโตของเส้นโลหิต
ไอโซฟลาโวน
ไอโซฟลาโวนคือสารที่มีโครงสร้างพื้นฐานคล้ายคลึงกับฟลาโวน
คือประกอบด้วยสารวงแหวน (A,B และ D) เหมือนกัน ยกเว้นที่ไอโซฟลาโวนมีวงแหวน B ต่อกับตำแหน่งที่ 3 ของวงแหวน
C แทนที่จะเป็นตำแหน่งที่ 2 เหมือนในฟลาโวนซึ่งเป็นฟลาแวน
ไอโซฟลาโวนจึงเป็น isomer ของฟลาแวนหรือของฟลาโวน
“จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษาโรค” ฮิปโปเครติส
บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีกได้บัญญัติไว้ในการรักษาเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาในการรักษาโรคยุคต่อๆ มา
และได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อ.ศัลยา
คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา
กล่าวว่า
ปัจจุบันผู้คนมีความสนใจโดยเฉพาะต่ออาหารหรือองค์ประกอบของอาหารที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายในการส่งเสริมสุขภาพ
เมื่อความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องคุณสมบัติของอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายคล้ายยา
ซึ่งอาหารทุกชนิดที่เรารับประทานกันทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มาจากพืชหรือสัตว์ต่างก็มีองค์ประกอบที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายในระดับต่างๆกันในบทบาทของอาหารฟังก์ชั่น
และส่งผลต่อสุขภาพของคนเราทั้งสิ้น
ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มเติม
พบว่า
องค์ประกอบของอาหารบางชนิดไม่จัดเป็นสารอาหารแต่อาจให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ
ดังนั้น องค์ประกอบหลักในอาหารจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่เป็นสารอาหารและส่วนที่ไม่ใช่สารอาหาร องค์ประกอบทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์ต่อการป้องกัน
หรือช่วยส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน
“เมื่อพูดถึงอาหารจะไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบในรูปสารอาหารขนาดใหญ่
และสารอาหารขนาดจิ๋วเท่านั้น แต่จะมองถึงองค์ประกอบที่มีฤทธิ์ต่อสรีรวิทยาหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
และให้ผลในการลดหรือป้องกันโรค จากการสำรวจ พบว่า ผู้บริโภคพอใจที่จะใช้คำว่า
อาหารฟังก์ชั่น (Functional food) แทนคำว่า อาหารเสริม
ซึ่งเรียกกันในรูปต่างๆ เช่น นิวตราซูติคอลส์ ดีไซเนอร์ฟูด อาหารทางการแพทย์
อาหารเสริม และอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะสำหรับสุขภาพ”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ประธานวิชาการชมรมโภชนวิทยามหิดล
ให้ข้อมูลว่า หนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ อาหารฟังก์ชั่น ซึ่งหมายถึง อาหารหรือสารอาหารชนิดใดๆที่อยู่ในรูปธรรมชาติหรือที่ถูกแปรรูปไปเพื่อให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับจากสารอาหารที่รับประทานกันในชีวิตประจำวัน ประโยชน์ของอาหารฟังก์ชั่นคือ
เป็นอาหารที่รับประทานร่วมกับมื้ออาหารได้ ไม่ใช่รับประทานในรูปของยา ซึ่งให้ผลต่อระบบการทำงานของร่างกายในการป้องกันโรค
เพิ่มภูมิคุ้มกัน ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆของร่างกายและส่งเสริมสุขภาพ
สำหรับอาหารที่ถูกปรับเปลี่ยนไป รวมทั้ง อาหารที่ถูกเสริมด้วยสารพฤกษเคมี
หรือสมุนไพร เพื่อเพิ่มคุณค่าและคุณประโยชน์ให้กับอาหาร ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่นด้วยเช่นกัน
อาหารที่จัดว่าเป็นอาหารฟังก์ชั่นมีหลากหลายประเภทด้วยกัน
อาทิ พรุน ที่มีใยอาหารจำนวนมากช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
อีกทั้งยังมี กรดนีโอโคลโรเจ็นนิค และกรดโคลโรเจ็นนิค
ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
รวมทั้งป้องกันกระดูกพรุนได้
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อย่าง บิลเบอร์รี่ ที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ คือ
สารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน
มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
ช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ป้องกันอาการอ่อนล้าของตา
และปกป้องเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก
และจอประสาทตาเสื่อม รวมถึง ช่วยป้องกัน หรือ
ชะลอความเสื่อมที่ก่อให้เกิดโรคทางสายตาได้
แต่ต้องได้รับในปริมาณที่มากพอและเหมาะสมที่จะส่งผลต่อสุขภาพตา
งา เป็นแหล่งของแคลเซียม
มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูก และยังมีสารเซซามินซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษ ส่วน โสม จะมีสารจินเซ็นโนไซด์
ที่ทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถทนต่อความเครียดได้
น้ำมันปลา ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง
หรือโอเมก้า-3
ที่สามารถลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ต้านการอักเสบ
และช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ชาอู่หลง มีสารชื่อ OTPP (Oolong
Tea Polymerized Polyphenol) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 10 เปอร์เซ็นต์
ซุปไก่ของชาวจีนที่ถูกแปรรูปไปเป็นซุปไก่สกัดซึ่งให้โปรตีนและเปปไทด์
รวมทั้งสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆบางชนิดที่เกิดจากการตุ๋นซึ่งไม่พบในการกินเนื้อไก่โดยตรง
ซึ่งปัจจุบันมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 20 ชิ้น พบว่า
ซุปไก่สกัดช่วยลดความเครียด เสริมสมาธิและการเรียนรู้ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
เห็ดทางการแพทย์ ซึ่งเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่นอกจากให้คุณค่าทางโภชนาการแล้วยังมีสารที่ให้ประโยชน์ในการส่งเสริมภูมิคุ้มกันและสุขภาพอีกด้วย
เช่น เห็ดไมตาเกะ เห็ดยามาบูชิตาเกะ เห็ดหลินจือ ถั่งเฉ้า เห็ดชิตาเกะ
เห็ดฮิเมะมัตสึทาเกะ และเห็ดแครง
สำหรับอาหารที่ถูกปรับเปลี่ยนไป
รวมทั้ง ชนิดที่ถูกเสริมสารอาหารด้วยสารพฤกษเคมี
หรือเสริมสมุนไพรเพื่อเพิ่มคุณค่าให้อาหาร
ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่นด้วยเช่นกัน
การใช้อาหารฟังก์ชั่นควรพิจารณาถึงความปลอดภัยด้วย
โดยดูจากระดับปริมาณที่เหมาะสมของสารอาหารและ
องค์ประกอบที่มีผลต่อสุขภาพในอาหารฟังก์ชั่นนั้นๆ
และสิ่งสำคัญต้องได้รับการยืนยันถึงคุณประโยชน์
ด้วยวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการทดลองทางคลินิก
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับ หากเรารู้จักเลือกบริโภคอย่างถูกต้อง
เหมาะสมตามความจำเป็นต่อความต้องการของร่างกาย
เราก็จะได้รับการเสริมอาหารที่ให้ประโยชน์คุ้มค่าต่อร่างกายได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามโปรดระลึกไว้เสมอว่า อาหารฟังก์ชั่นไม่ใช่อาหารหลัก
จึงไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่เป็นอาหารที่รับประทานเพื่อเสริมจากอาหารหลัก
ที่อาจได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง
ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรปฏิบัติก็คือ การรับประทานอาหารให้หลากหลาย
ครบทุกหมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส
และพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อการมีสุขภาพที่ดี
เอกสารอ้างอิง
1. ปิ่นมณี ขวัญเมือง. 2548. ฟังชันนัลฟูดส์ : อาหารเพื่อสุขภาพ. วารสารครุสาสตร์อุตสาหกรรมที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน-กันยายน
2. สรจักร ศิริบริลักษณ์. 2549. เภสัชโภชนาการ 2. กรุงเทพฯ.
บริษัท ยูเคชันจำกัด.
3.ชนิดา ปโชติการ. ศัลยา คงสมบูรณ์เวช และอภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์. 2548. อาหารและสุขภาพ. กรุงเทพฯ: บริษัท เสริมมิตร.
4. ธานี
เมฆะสุวรรณดิษฐ์ และคณะ. (2546)
ตำราเภสัชบำบัด.กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด.
5.
สถาบันวิจัยสมุนไพร
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2548. ปัญจขันธ์.
กรุงเทพฯ: บริษัท มิราคูส.
6. Charalampopoulos, D., Wang, R.,
Pandiella, S.S. and Webb,C (2002) Appication
of cereals and cereal compilcation in Functional Foods : a review.
International Journal of Food Microbiology.
79:131-141.
7. Duranti, M. (2011) Grain Iegume proteins
and nutraceutical properties. Fitoterapia. 7
อาหารฟังก์ชั่นสำหรับนักกีฬา
Function Food
for Athletes
ปวีนา จันดาชาติ,ณภัสวรรณ ธนาพงษ์อนันท์
Paveena Jandachat1 ,Napatsawan Thanaphonganan2
Received:
13 July 2014 ; Accepted: 31 October 2014
บทคัดย่อ
โภชนาการนับเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายรวมทั้งการฟื้นสภาพร่างกายและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหลังจากออกกำลังกาย
นักกีฬาตระหนักเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งประกอบด้วยสารอาหารคาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ มาพัฒนาศักย์ภาพอย่างแพร่หลาย
นักวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากธรรมชาติมีคุณค่าต่อการเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันการบาดเจ็บของนักกีฬา
นอกจากนี้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่ามีความสัมพันธ์กับการออกกำลังกายรวมทั้งมีผลต่อสรีรวิทยาของนักกีฬาเป็นอย่างยิ่ง
บทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับอาหารฟังก์ชั่นมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติสำหรับนักกีฬาและบุคคลทั่วไปในการส่งเสริมสุขภาพอีกทั้งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่พบขณะออกกำลังกาย
คำสำคัญ : อาหารฟังก์ชั่น
ภาวะธำรงดุล สมรรถภาพ
บทนำ
อาหารทุกชนิดมีการทำงานได้ระดับหนึ่งเพราะอาหารทุกอย่างมีรสชาติ
กลิ่น และคุณค่าทางโภชนาการอาหารฟังก์ชั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้นักกีฬาและบุคคลทั่วไป
มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีหลายประการ โภชนาการเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้นที่มีความจำเป็นต่อการเสริมประสิทธิภาพของร่างกาย
การได้รับสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
โดยแหล่งที่มาของอาหารนั้นควรมาจากธรรมชาติและมีความหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ออกกำลังกายและนักกีฬา
ควรพิจารณาองค์ประกอบของอาหารที่ส่งผลต่ออิทธิพลทางสรีรวิทยาอาหารฟังก์ชั่นพบว่ามีความเหมาะสมและมีประโยชน์ต่อการปรับเปลี่ยนสรีรวิทยาในขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา
อาหารฟังก์ชั่นคืออะไรจากการทบทวนวรรณกรรมได้มีการศึกษาเกี่ยวกับFunctional food ดังต่อไปนี้ อาหาร
ฟังก์ชั่นให้รสชาติ กลิ่นและคุณค่าทางโภชนาการ
แต่อาหารเหล่านี้ได้มีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเพิ่มประโยชน์ซึ่งช่วย
ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
หรือเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพ
สิ่งเหล่านี้เป็นความพยายามของการวิจัยที่ทำให้ทั่วโลกสนใจในตอนนี้และยอมรับว่าเป็น “ อาหารสุขภาพ “ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อปี1980 ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้านการดูแลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุขได้มีการเริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารบางอย่างโดยคาดว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพประชากรผู้สูงอายุในประเทศ
อาหารเหล่านี้ ขณะนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ซึ่งมีสิทธิ์ประทับตรา
Foods for Specifi ed Health (FOSHU ) เมื่อเดือนกรกฎาคม
2002ในสหรัฐอเมริกาไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอาหารฟังก์ชั่น
อย่างไรก็ตามหลายองค์กรได้เสนอคำนิยาม สำหรับปี 1994 สถาบันวิทยาศาสตร์อาหารโภชนาการแห่งชาติแก้ไขอาหารหรือส่วนประกอบอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากแบบเดิม2สถาบันวิทยาศาสตร์นานาชาติกล่าวว่าอาหารเป็นชีวิต
นอกเหนือจากโภชนาการพื้นฐานโดยอาศัยตัวของเราเป็นองค์ประกอบในการทำงานเพื่อเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ3ในปี 1999 สมาคมโภชนาการอเมริกันกล่าวว่าอาหารฟังก์ชั่นเป็นอาหารที่มีความสมบูรณ์
สำคัญกว่านั้นระบุว่า
อาหารดังกล่าวจะต้องบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่หลากหลายบนพื้นฐานระดับปกติเพื่อเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารฟังก์ชั่นที่ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายแบบเฉพาะเจาะจง ดังแสดง Table1
Table System affected by nutritionally related
disorders
Body system Examples
of disorders
Nutritional Factors
|
Gastrointestinal System
|
Microflora, gut function (gastric:
Helicobacterpylori; colonic: chronic inflamatory bowel disease, neoplasia)
|
Prebiotics (+), Probiotics (+), Antibiotic
factors (+/-), n-3 Fatty acids (+)
|
|
|
Motility disorders
|
Caffeine (-), Polyphenolics (culinary herbs)
(+), Ginger (+), Alcohol (-)
|
|
|
Hepato-biliary, pancreatic
|
Growth factors (+/-)
|
|
Cardiovascular System
|
Blood pressure
|
n-3 Fatty acid sources (fi sh, plants) (+),
Na (-), K, Mg, Ca (+)
|
|
|
Lipids
|
Fatty fruits (olive, avocado, cocoa red
plum)(+), Nuts (+), n-3 Fattyacids (+), Cholesterol (-), Phytosterols
(+),Saturated and trans-fatty acids(-)
|
|
|
Platelet function
|
n-3 Fatty acids (+), Salicylates (fruits)
(+),Polyphenolics (plants) (+),Arginine (nuts) (+)
|
|
Cardiovascular System
|
Endothelial function, Glycaemic status and
itsConsequenes, Cardiac rhythm
|
Low glycaemic index food (+),
Polyphenolics(+), Alcohol (-), n-3 Fatty acids (+)
|
|
|
Abdominal fatness
|
Wholegrains, fruits, vegetables,
(phytochemicals),dietary fi bre (+)
|
|
Skin
|
Wrinkling (ageing), skin cancer (SCC)
|
Fatty fruits (+), Tocotrienol (vit E)
(+),Phytonutrients (fruit, tea) (+)
|
|
Immunohaemato -logical
System
|
Haemopoiesis Lymphoma and leukaemia
|
Micronutrients (+), EFA (+), Energy
andprotein defi ciency(-), Paternal,
Maternal nutrition (+/-)
|
|
Endocrine System
|
Thyroid
|
Iodine (+), Antithyroid factors (-)
|
|
|
Insulin, pancreas
|
Energy balance (+/-), Food patterns
(+/-),Intactness of foods (+)
|
|
Special senses
|
Olfactory
|
Myriad receptors for various food factors(+);
link to memory
|
|
|
Taste
|
Preferences, Polymorphisms, Thresholdwith are
and food, Components (e.g. Na,caffeine)
|
|
|
Auditory
|
Sounds of eating, e.g. crunch, grind) (+)
|
|
|
Vision: Retinal function (night
blindness)macular function (maculopathy), lens health
|
Vitamin A, carotenoirds (+),Zinc (+),alcohol
(-), Lutein, zeaxanthin, Antioxidant
|
|
|
(cataract)
|
foods, Minimising UV damage
|
|
Mental health
|
Mood
|
Nutritional adequacy (+), Social role of
food(+)
|
(+)
favourable effects, (-) unfavourable
ที่มา: Choudhary and
Tandon, (2009)
ประสิทธิผลของอาหารฟังก์ชั่นกับความทนทาน
ความทนทานกล้ามเนื้อ หมายถึง
ความสามารถในการหดตัวซํ้าๆ หรือนานๆ ต้านความเมื่อยล้า
ขึ้นกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พลังงานงานที่สะสมในกล้ามเนื้อ
และจำนวนหลอดเลือดฝอยในกล้ามเนื้อฉะนั้นการบริโภคสารอาหารระหว่างการออกกำลังกายส่วนใหญ่นิยมใช้คาร์โบไฮเดรตและไขมันซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มความสามารถของความทนทานในการควบคุมการเผาผลาญสารอาหารโดยเฉพาะเพิ่มประสิทธิภาพไกลโคเจนจะถูกนำมาใช้ในการออกกำลังกายเพื่อพัฒนาความทนทานสารตั้งต้นที่ใช้พลังงานสำหรับการหดตัวของกล้ามเนื้อนี้จะทำให้ค่อยๆหมดไป
ส่งผลให้ความสามารถในการออกกำลังกายลดระดับลง วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของความทนทานคือ
การเพิ่มไกลโคเจนในโครงร่างกล้ามเนื้อและตับอ่อน
เมื่อกล้ามเนื้อมีระดับไกลโคเจนลดลงปฏิกิริยาในการสังเคราะห์สารทดแทนชั่วคราว
โดยมีกระบวนการสะสมไกลโคเจนจากคาร์โบไฮเดรต เช่น ไกลโคเจนสามารถเพิ่มได้โดยการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตตํ่าเป็นเวลา 3 วันนับจากวันที่ 6 ก่อนที่จะมีการแข่งขันแล้วตามด้วยอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงสำหรับ
3 วันถัดไป มีการสะสมไกลโคเจนถึง1.5 เท่า
ซึ่งมากกว่าปกติ แคลเทรตซึ่งยับยั้งการสลายนํ้าตาลกลูโคสในร่างกายมาพร้อมกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงไกลโคเจนจึงเพิ่มขึ้นเนื่องจากการยับยั้งการสลายนํ้าตาลกลูโคสในร่างกาย
นอกจากนี้ที่สำ คัญนักกีฬาจะสะสมไกลโคเจนก่อนแข่ง
เพื่อให้พลังงานเพียงพอสำหรับการฝึกซ้อมหรือแข่งขันต่อไป
การสะสมของไกลโคเจนที่รวดเร็วได้จากอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ปริมาณของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจะทำให้นักกีฬามีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับการสะสมอย่างรวดเร็วของไกลโคเจนในกล้ามเนื้อหลังการออกกำ
ลังกายเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีแค่คาร์โบไฮเดรตชนิดเดียว7 การออกกำลังกายที่ใช้ระยะเวลานานเช่น การวิ่งมาราธอน
การรับประทานคาร์โบไฮเดรตทันที
ก่อนหรือระหว่างการออกกำลังกายทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของความทนทานภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว
นักกีฬาควรได้รับคาร์โบไฮเดรต ชนิดนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว
เพราะนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้โดยตรง
ในทางกลับกันการรับประทานคาร์โบไฮเดรตช่วยในการสลายไขมันซึ่งเป็นอีกหนึ่งพลังงานที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินทำให้เกิดความบกพร่องในการสะสมพลังงานของไขมัน
การเผาผลาญและเร่งไกลโคไลซิสเป็นพลังงานทดแทนเป็นผลให้ปริมาณไกลโคเจนในกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและค่า
pH ลดลง กรดแลคติคมากจะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ดังนั้น
เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรได้รับคาร์โบไฮเดรตทำให้ช่วยลดการเผาผลาญไขมัน
จากการศึกษาอาหารเสริมประกอบด้วยฟรุกโทส
ซึ่งก่อให้เกิดการกระตุ้นอินซูลินน้อยกว่าและมีแนวโน้มที่จะลดการหลั่ง
ลิโปไลซิสแทนที่มากกว่าคาร์โบไฮเดรตที่พบเช่น กลูโคส
และซูโครสส่งผลดีต่อการเปลี่ยนแปลงความทนทานนอกจากนี้ปริมาณของสารอาหารสามารถเพิ่มการใช้พลังงานจากไขมันผ่านการลดของไกลโคไลซิสจะสำรองไกลโคเจนและลดการผลิตของกรดแลคติคลง
ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวช้า
กรดอะมิโนได้รับการยอมรับว่าช่วยในการควบคุมฮอร์โมนระดับนํ้าตาลในเลือด
โดยลดการเผาผลาญไขมันและเพิ่มระยะเวลาระหว่างการออกกำลังกาย
ดังนั้นการบริโภคทั้งซิเตรดและอาร์จินีน
พร้อมกับคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้เกิดการกระตุ้นของอินซูลินเล็กน้อยการหลั่งฮอร์โมนนี้ก่อนหรือในระหว่างการออกกำลังกายอาจเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานและแหล่งพลังงานที่เหมาะสม
จากการออกกำลังกายหากมีการเปลี่ยนการใช้พลังงานส่วนใหญ่เป็นนํ้าตาลที่ใช้ในการให้พลังงานของไขมันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความทนทานโดยการสะสมไกลโคเจนและลดความเป็นกรดในกล้ามเนื้อซึ่งเกิดแลคเตรดขึ้นในระหว่างการออกกำลังกาย
จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่า ปัจจัยต่างๆที่สามารถกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน
ถึงแม้จะมีหลักฐานไม่เพียงพอเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ
คาร์นิทีนซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการขนส่งกรดไขมันของเยื่อหุ้มเซลล์ในไมโทคอนเดรียและส่งเสริมเบต้า-ออกซิเดชั่น ของกรดไขมัน อาหารเสริมที่มี
คาร์นิทีนทำให้เกิดการเผาผลาญอาหาร ไขมัน ในโครงร่างกล้ามเนื้อและยังมีการสะสมไกลโคเจน
ในคนที่ออกกำ ลังกายแบบแอโรบิคการบริโภคคาร์นิทีน 2-4 กรัม
ก่อนออกกำลังกาย
หรือในชีวิตประจำวันพบว่าจะเพิ่มการใช้ออกซิเจนสูงสุดและลดการสะสมของกรดแลคติคหลังการออกกำลังกาย
นอกจากนี้พบว่าคาเฟอีนมีผลต่อความทนทาน ซึ่งพบได้ใน นํ้าอัดลม ชาดำ ชาเขียวกาแฟ
เป็นต้น
การศึกษาระบุว่าคาเฟอีนลดการปล่อยฮอร์โมนและเอนไซม์ไลเปสที่มีความสำคัญต่อกิจกรรมที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของกรดไขมันอิสระและการเปลี่ยนแปลงความความทนทาน8
อีกทั้งแคพไซซินได้จากพริกแดงจะเพิ่มการเผาผลาญไขมันโดยการเปลี่ยนแปลงความสมดุลของฮอร์โมนลิโปไลทิกและช่วยเพิ่มการออกซิเดชั่นในไขมันและกล้ามเนื้อ
จากที่กล่าวมาเบื้องต้นอาหารฟังก์ชั่นที่มีแหล่งที่มาจากธรรมชาติสามารถรับประทานร่วมกับอาหารปกติ
ในชีวิตประจำวันทำให้มีประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกาย
ซึ่งเป็นแบบจำเพาะต่ออวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง
จากการศึกษาค้นคว้าได้ชี้แนะถึงการบริโภคอาหารจากใยอาหารอย่างหลากหลายช่วยในการส่งเสริมสุขภาพ
โดยความเป็นจริงผักแต่ละชนิดมีสารอาหารมากมาย รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ
สารพฤกษเคมี(Phytochemica) ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพ
การถูกรบกวนทางสรีรวิทยา
การขาดนํ้าส่งผลกระทบต่อu3619 .ระบบสรีรวิทยาในร่างกาย10
ของแต่ละระบบที่สำคัญของร่างกาย
เมื่อเริ่มต้นการออกกำลังกายในอุณหภูมิที่สูงขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิร่างกาย
ในร่างกายพยายามที่จะลดอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้นด้วยการถ่ายเทความร้อนความร้อนด้วยวิธีการนำ
การพารังสี และมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการระเหย11 การถ่ายเทความร้อนด้วยกระบวนการระเหยของเหงื่อเป็นวิธีการที่มีศักยภาพมากที่สุดของการควบคุม
อุณหภูมิระหว่างการออกกำลังกาย
การลดอุณหภูมิร่างกาย98 เปอร์เซ็นต์ ใช้กระบวนการระเหย11ถ้านํ้าไม่เพียงพอต่อการบริโภคเพื่อทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปหลังจากการทำงานอย่างหนัก
การคายนํ้าที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิคสามารถเปลี่ยนแปลงในระดับต้นของการไหลเวียนเลือด11การออกกำลังกายใช้ความทนทานของกล้ามเนื้อมีการเพิ่มขึ้นของการไหลของเลือดไปยังกล้ามเนื้อที่ใช้งานและลดน้อยลงในส่วนของกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ออกกำลังกายการคายนํ้าเป็นสิ่งที่เกิดสำหรับการไหลเวียนเลือดระหว่างการใช้งานในการเผาผลาญกล้ามเนื้อและผิวหนังที่ต้องการ
การถ่ายเทความร้อน11เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดลดลงทำให้ผิวหนังควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นในระหว่างออกกำลังกายที่ใช้ความทนทานในความร้อนที่อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น
0.2 องศานํ้าหนักตัวหายไป 1 เปอร์เซ็นต์
พร้อมกับลดอุณหภูมิเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและลดจังหวะการเต้นของหัวใจพร้อมกับสามารถควบคุมการลดอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น
โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ12.13จากการศึกษาพบว่าปริมาณของการคายนํ้าเกิดระหว่าง
1-4 เปอร์เซ็นต์ ของนํ้าหนักตัว
เป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและลดจังหวะการเต้นหัวใจจาการตั้งข้อสังเกต14
ในลักษณะเดียวกันได้พบว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นหัวใจประมาณ
10 ครั้งต่อนาที ด้วยวิธีการปั่นจักรยาน 90 นาที15นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการคายนํ้าทำให้ทราบถึงการเพิ่มอัตราการรับรู้ของการออกแรงเป็นการทำให้การทำงานของจิตสูญเสีย12แรงจูงใจในการออกกำลังกายและความทนทานซึ่งเป็นที่ต้องการของนักกีฬา
การคายนํ้าทำให้แรงจูงใจ อ่อนเพลีย ขณะออกกำลังกาย
ผลกระทบของการขาดนํ้า
การออกกำลังกายที่ใช้ความทนทาน
จากการศึกษาพบว่าการกระตุ้นที่เกิดจากการ
สูญเสียนํ้าของร่างกายในระดับหนึ่ง
การคายนํ้าขณะก่อนออกกำลังกายหรือขณะออกกำลังกาย16จากการศึกษาพบว่า สิ่งที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินการที่ชัดเจน
จากการทบทวนวรรณกรรม การขาดนํ้าจะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการออกกำลังกายและความทนทาน
การขาดนํ้าส่งผลให้ทำลายการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ความสามารถของการฝึกและการเล่นกีฬา17เมื่อปริมาณนํ้าในร่างกายลดลงส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดเกิดความเครียด
สังเกตได้จากอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้นและจังหวะการเต้นของหัวใจลดลง 16ขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิคในสภาวะแวดล้อมที่ร้อนชื้นทำให้เกิดการคายนํ้า
2 เปอร์เซ็นต์ ต่อมวลร่างกาย
ทำให้การออกกำลังกายแบบแอโรบิคมีประสิทธิภาพน้อยลง18จากการศึกษาเกี่ยวกับการปั่นจักรยานใช้ความทนทาน
แสดงให้เห็นว่าการขาดนํ้าทำให้ความสามารถในการรักษาการออกแรงสูงสุดลดลงในระหว่างปั่นจักรยาน
ในการศึกษานํ้าโดยทำการทดลองที่
90 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้ออกซิเจนสูงสุด
นานที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ หลังจากนาทีที่ 60 ความหนักที่
70เปอร์เซ็นต์ ของการใช้ออกซิเจนสูงสุด ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการลดลง
2 เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักตัว
ก่อนที่จะมีการเริ่มต้นการออกกำลังกายระยะเวลาในการทำงานสูงสุดความเข้มประมาณ34
เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มไฮเดรต19 นอกจากนี้ได้ค้นพบการขาดแคลนนํ้า
2-4 เปอร์เซ็นต์
ของนํ้าหนักตัวแสดงผลอย่างมีนัยสำคัญลดประสิทธิภาพการออกกำลังกายเนื่องจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในการดูดซึมออกซิเจน
สูงสุดในสภาพอากาศที่ร้อน20จากการศึกษาค้นคว้าพบว่าการขาดนํ้าทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด
ทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นอัตราการเต้นของหัวใจและความสามารถการรับรู้ในการออกกำลังกาย
คาร์โบไฮเดรต
อิเล็กโทรไลต์ นํ้าเพื่อการออกกำลังกายแบบแอโรบิค นํ้าเปล่าไม่เหมาะในการบริโภคก่อนระหว่างและหลังการออกกำลังกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่ให้ความชุ่มชื้น ในขณะออกกำ ลังกายแบบแอโรบิค16เมื่อออกกำลังกายเป็นระยะเวลานานในสภาพอากาศที่ร้อนมากทำให้เกิดการสูญเสียเหงื่อได้มากถึง2-4
ลิตรต่อชั่วโมง สูญเสียเกลือไป 10-14 กรัม
การออกกำลังกายที่ใช้ความทนทานช่วยฟื้นฟูความสมดุลของของเหลวที่จำเป็นทันทีหากการสูญเสียเหงื่อถูกแทนที่ด้วยนํ้าเปล่า
การเจือจางของพลาสม่าส่งผลให้โซเดียมในพลาสม่าตํ่า
ดังนั้นเพื่อเป็นการทดแทนเกลือที่สูญหายหายไปกับเหงื่อควรเพิ่มโซเดียมในเครื่องดื่มเพื่อทดแทน
โซเดียมที่ได้มาจากเครื่องดื่มยังช่วยในการขนส่งนํ้าตาลกลูโคสและนํ้าในผนังลำไส้
นอกจากนี้นํ้าตาลกลูโคสในเครื่องดื่มช่วยรักรักษาระดับนํ้าตาลในเลือดและประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ
จากการศึกษาการบริโภคเครื่องดื่มที่มีอิเล็กโทรไลต์ทำให้การขับนํ้าปัสสาวะสูงส่งผลให้ของเหลวดูดซึมน้อยและเป็นที่ยอมรับว่าปริมาณสารนํ้าที่สามารถรักษาประสิทธิภาพได้มากขึ้น
เมื่ออิเล็กโทรไลต์ถูกรวมตัวในของเหลวและu3588 .ความเข้มข้นของโซเดียมในพลาสม่าที่เกิดขึ้น
การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสัดส่วนกับพื้นที่หน้าตัดของกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อส่วนประกอบของโปรตีนได้แก่
แอคติน ไมโอซิน และนํ้า สิ่งสำคัญในการเพิ่มปริมาณโปรตีนโดยการเผาผลาญโปรตีนเมื่อเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อและความแข็งแรงสามารถเพิ่มขึ้นด้วยการสังเคราะห์โปรตีนหรือลดการย่อยโปรตีน
ดังนั้นการออกกำลังกายด้วยแรงต้านช่วยทำให้การสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อและเลือด
ระดับของกรดอะมิโนต่างๆที่มีพื้นผิวสำหรับสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อดังนั้นจึงความจำเป็นในการรักษาความของระดับไนโตเจนของร่างกายสมดุลของไนโตรเจนเชิงบวกโดยการเพิ่มปริมาณโปรตีนจากอาหาร
การทบทววรรณกรรมพบว่านักกีฬาต้องการโปรตีนสูงกว่าบุคคลทั่วไป โปรตีนที่ต้องการในแต่ละวันปริมาณ1.4-1.8 กรัม
กลูตามีนช่วยสนับสนุนการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อซึ่งได้มาจากเวย์โปรตีนในปริมาณสูงนอกจากนี้ยังพบว่าการได้รับโปรตีนมีความสำคัญต่อการสร้างประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อข้นกับระยะเวลาในการรับประทาน
โดยหลังจากการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านควรได้รับโปรตีนหลังจากฝึกซ้อมทันทีไม่ควรทิ้งช่วงระยะเวลารวมทั้งต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตอย่างเพียงพอ
ซึ่งสามารถช่วยให้สารสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อและการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินในระดับดีขึ้น
นอกจากนี้ร่างกายสามารถดูดซึมกรดอะมิโนและเพปไทด์ไปใช้ได้ทันที
กรดอะมิโนไม่เพียงสำคัญต่อการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อยังสำคัญต่อสรีรวิทยาระดับโมเลกุล
การเผาผลาญพลังงานขณะออกกำลังกายพบว่าเกิดการสลายของโปรตีนจำเป็นต้องได้รับ
การสังเคราะห์กรดอะมิโนชนิดจำเป็นได้แก่ ลิวซีน ไอโซลิวซีน และวาลีน
การออกกำลังกายโดยการกระตุ้นการทำงานของ-α-keto dehydrogenas(BCKDH)ที่ซับซ้อน23
นอกจากBCAAsปรับการเผาผลาญโปรตีนในกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มการสังเคราะห์และลดการย่อยสลายของโปรตีน24ส่งผลให้แอนนาโบลิคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและยังพบว่ากลูตามีนยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อโดยการยับยั้งการย่อยสลายโปรตีนเป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อและการบริโภคที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของเซu3621
.ล์กล้ามเนื้อในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อกลูตามีนพบที่ระดับความเข้มข้นค่อนข้างสูงในหลายเนื้อเยื่อของคนอื่นๆและมีบทบาทสำคัญในภาวะธำรงดุลในการสลายเพื่อให้มีขนาดเล็กลง
เช่น การออกกำลังกายกลูตามีนถูกปล่อยออกจากกล้ามเนื้อ
พลาสม่าที่จะใช้สำหรับการรักษาระดับ กลูตามีนในเนื้อเยื่ออื่นๆ
อาร์จินีนเป็นสารตั้งต้นของไนตริกออกไซด์และครีเอทีนทำให้เพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนการเจริญเติบโตซึ่งมีผลทำให้ขนาดของมัดกล้ามเนื้อใหญ่และแข็งแรงขึ้น การได้รับอาร์จินีนทางช่องปากยังไม่ชัดเจนจากการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการบริโภคอาร์จินีนที่มีสารอื่นๆ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกายส่วนประกอบต่างๆของคน
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาผลที่ทำให้เกิดความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
วิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษามากกว่าทศวรรษการสนับสนุนการใช้อาหารฟังก์ชั่นครีเอทีนและβ-hydroxy-β-methylbutyrate
(βHMB) เพื่อเพิ่มมวลของร่างกายและความแข็งแรงเมื่อมีการออกกำลังกายด้วยแรงต้านในร่างกายมีครีเอทีนมากกว่า100
กรัมเกือบทั้งหมดถูกเก็บไว้ในกล้ามเนื้อเป็นครีเอทีนฟอสเฟส
ถูกใช้ในการผลิตATPโดยการย่อยสลายของครีเอทีนภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ใช่ออกซิเจน
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนมีการสะสมของครีเอทีน
ยังช่วยกระตุ้นการกักเก็บนํ้าและสังเคราะห์โปรตีนได้ค้นพบว่าการบริโภคครีเอทีน
3กรัมต่อวัน ครีเอทีนและฟอสเฟสมีการเปลี่ยนแปลงความทนทานโดยเฉพาะขณะที่มีการทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูงรวมทั้งการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในระหว่างการฝึกแบบใช้แรงต้าน29นอกจากนี้ได้พบว่าปริมาณของครีเอทีนทำให้เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในระหว่างการฝึกแบบใช้แรงต้าน
βHMB เป็นเมแทบอลิซึมของกรดอะมิโนลิวซีนและจะทำให้เพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อและลดการย่อยสลายของโปรตีนต่อการเผาผลาญของกรดอะมิโนได้พบว่าการบริโภค
βHMB 1.5-3.0กรัมต่อวันระยะเวลา
3-8 สัปดาห์ทำให้ขนาดของมวลกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นและมีพลังงานมากกว่าเมื่อเทียบกับยาหลอกการ
ป้องกันการบาดเจ็บและความเมื่อยล้า ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำที่ใช้พลังงานจำนวนมากอาจจะทำให้เกิดความล้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
ทำให้กลไกลพื้นฐานของกล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บขึ้นหลังการออกกำลังกายอย่างหนักการบาดเจ็บที่เกิดจากการอักเสบจากการแทรกซึมของPhagocyte โดยเรียกว่าความเครียดเชิงกล34แคลเซียมไอออนภายในเซลล์เพิ่มขึ้น ความเข้มข้นของแคลเซียมไอออน
และความเครียดออกซิเดชันมีการค้นพบว่าในอาหารฟังก์ชั่นลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของออกซิเดชันที่สะสมในกล้ามเนื้อและเลือดซึ่งควบคู่กับตัวแปรอื่นๆ
ที่มีช่วยลดสาเหตุการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและการบาดเจ็บเฉียบพลัน
หลังการออกกำลังกายออกซิเดชันสามารถป้องกันได้โดยการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระเช่นวิตามินC,E
หรือโพลีฟีนอยด์
ไม่เพียงแต่ระหว่างการออกกำลังกายแต่ยังสามารถใช้อาหารฟังก์ชั่นในชีวิตประจำวันได้ในทางตรงกันข้ามจากการศึกษาพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะไม่ส่งผลกระทบต่อการบาดเจ็บกล้ามเนื้อและตอบสนองการอักเสบที่เกิดจากการออกกำลังกาย42,43หนึ่งเหตุผลที่เป็นไปได้เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่แตกต่างคือ
ผลกระทบของสารต้านอนุมูลอิสระมีแนวโน้มที่มีความแตกต่างของความหนักในการออกกำลังกาย
เช่น ความเครียดและปฏิกิริยาออกซิเดชั่น(ROS)อาจเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
ปฏิกิริยาของออกซิเจนถูกสร้างขึ้นจากไมโทคอนเดรียและเยื่อบุ
ในระหว่างการออกกำลังกายโดยการใช้ออกซิเจนของ myocytes และขั้นตอนการขาดเลือดซึ่งนำไปสู่การถูกรุกรานของฟาโกไซโทซิสเข้าสู่กล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายผ่านทางนํ้าทำให้เกิดการอักเสบที่ปฏิกิริยาความไว
ดังนั้นการตอบสนองการอักเสบยับยั้งปฏิกิริยาของออกซิเจนระหว่างการออกกำลังกายลดลงมากทำให้มีโอกาสบาดเจ็บของกล้ามเนื้อมากยิ่งขึ้นเช่นการออกกำลังกายช่วยให้เกิดภูมิต้านทาน
นอกจากนี้ยังดีกว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากเพราะจะมีผลต่ออวัยวะต่างๆ
กลูโคซามีนและคอนดรอยตินเป็นสารที่ช่วยป้องกันข้อต่อ
กลูโคซามีนมีกรดอะมิโนสังเคราะห์ในร่างกายที่เป็นส่วนประกอบของนํ้าไขข้อ เส้นเอ็น
และเอ็นในข้อต่อคอนดรอยตินที่มีบทบาทสำคัญเป็นโช็คอัพเนื่องจากการดูดความชื้นของการบริโภคทางช่องปากเสริมสารอาหารเหล่านี้เป็นข้อเสนอแนะที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือช่วย
ในการฟื้นฟูจากโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากการออกกำลังกายเล่นกีฬาและจำนวนอายุที่เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ผลของการออกกำลังเสริมไม่เป็นที่แน่ชัด
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความเมื่อยล้า
อาการที่เกิดจากการออกกำลังกายเช่นการสะสมของไกลโคเจนและกรดแลคติคในร่างกายระหว่างการออกกำลังกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเส้นประสาทก่อนการออกกำลังกายดังกล่าว
การฟื้นตัวของไกลโคเจนในกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นจากการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการใช้ปัจจัยที่มีผลยังยั้งในไกลโคไลสิสเช่น
ซิเตรดและพิจารณาระยะเวลาของการบริโภคคาร์โบไฮเดรต
นอกจากนี้การสะสมกรดแลคเตทในกล้ามเนื้อยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเกี่ยวข้องกับการลดลงของค่าความเป็นกรดในกล้ามเนื้อซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความล้า
ดังนั้นอาหารเสริมช่วยควบคุมการผลิตแลคเตทมีประสิทธิภาพ
ไดเพปไทด์ที่มีมากในกล้ามเนื้อลาย carnosineและ
anserineg มีค่าpHบัพเฟอร์เสริมไดเพปไทด์เหล่านี้อาจเป็นไปได้ในการยับยั้งการลดลงของค่าความเป็นกรดโดยการออกกำ
ลังกายผ่านขบวนการของบัพเฟอร์ไดเพปไทด์เหล่านี้
สรุป
ภาพรวมของอาหารฟังก์ชั่นพบว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนทุกเพศทุกวัย
ที่ให้ความสำคัญในด้านสุขภาพและมีความคาดหวังที่ซับซ้อนและหลากหลายของอาหาร
ในปีที่ผ่านๆมาปัจจัยอาหารต่างๆที่ตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาว่ามีผลกระทบต่อสรีรวิทยาใดบ้างเช่นประสิทธิภาพของอาหารฟังก์ชั่นกับความทนทาน
การถูกรบกวนทางสรีระวิทยา ผลกระทบของการขาดนํ้าคาร์โบไฮเดรต อิเล็กโทรไลต์
นํ้าเพื่อการออกกำลังกายแบบแอโรบิค การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
และการป้องกันการบาดเจ็บและความเมื่อยล้า
ความหลากหลายการทำงานของอาหารที่มีอยู่ในแต่ละหมู่ของอาหาร
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
มีบางส่วนไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงประสิทธิภาพใดและส่วนอื่นๆที่มีการกล่าวถึง
การเรียกร้องที่ไม่เหมาะสมและโฆษณาเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด บางส่วนของอาหารที่อธิบายไว้ในบทความนี้ควรมีการศึกษาต่อไปเพราะความแตกต่างของแต่ละมุมมองที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่พบความแตกต่าง
นอกจากนี้ประสิทธิภาพต่างๆขึ้นอยู่กับ อายุเพศ
และขนาดร่างกายและรูปแบบการบริโภคเพื่อให้เหมาะสมต่อปริมาณที่ร่างกายต้องการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และระยะเวลาในการบริโภคจะต้องมีการกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้และผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในขณะออกกำลัง
เล่นกีฬาหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
เอกสารอ้างอิง
1. Arai, S. Studies on functional foods in
Japan—stateof the art. Biosci. Biotechnol. Biochem. 1996. 60:9–15.
2. Committee on Opportunities in the Nutrition
and FoodSciences, Food and Nutrition Board, Institute ofMedicine Enhancing the
food supply. In: Opportunitiesin the Nutrition and Food Sciences: Research
Challengesand the Next Generation of Investigators(Thomas, P. R. & Earl,
R., eds.), 1994. pp.98-142.
3. International Life Sciences Institute Safety
assessmentand potential health benefi ts of food componentsbased on selected
scientifi c criteria. ILSI NorthAmerica Technical Committee on Food
Componentsfor Health Promotion. Crit. Rev. Food Sci. Nutr. 1999.39: 203–316.
4. American Dietetic Association Position of
the AmericanDietetic Association: functional foods. J. Am.Diet. Assoc. 1999.
99: 1278–1285.5. Choudhary Raghuveer and Tandon RV,
consumptionof functional food and heal thconcerns. Pak J Physiol,2009.
5(1)6. รัตนวดี ณ นคร. สรีรวิทยาของการออกกำลังกาย[ออนไลน์], แหล่งที่มาwww.med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/.../Exercise_physiology.pdf
7. Ivy JL, Goforth HW Jr, Damon BM, McCauley
TR,Parsons EC, Price TB: Early postexercise muscleglycogen recovery is enhanced with a
carbohydrateproteinsupplement. App Physiol 2002, 93: 1337-1344.8. Brass EP: Supplemental carnitine and
exercise. AmJ Clin Nutr 2000, 72: 618S-623S.
9. Ryu S, Choi SK, Joung SS, Suh H, Cha YS, Lee
S,Lim K: Caffeine as a lipolytic food component
increases endurance performance in rats and
athletes.J Nutr Sci Vitaminol 2001, 47: 139-146.
10. Murray, R., Fluid needs in hot and cold
environments.Int J Sports Med, 1995. 5(S62-S73).
11. Gisolfi , C.V., D.R. Lamb, and E.R. Nadel,
Temperatureregulation during exercise:An overview, in Perspectivesin Exercise
Science and Sports medicine:Exercise, heat and thermoregulation, J.
Werner,Editor. 1993, Brown and Benchmark: Dubuque.12. Montain, S.J. and E.F. Coyle, Infl uence of
gradeddehydration on hyperthermia and cardiovascular driftduring exercise. J
Appl Physiol, 1992. 73: p. 1340-1350.13. Gonzalez-Alonso, J., et al., Dehydration
markedlyimpairs cardiovascular function in hyperthermic enduranceathletes
during exercise. J Appl Physiol,1997. 82: p. 1229-1236.
14. Montain, S.J. and E.F. Coyle, Infl uence of
gradeddehydration on hyperthermia and cardiovascular driftduring exercise.
Journal of Applied Physiology, 1992.73: p.1340-1350.
15. Sanders, B., T.D. Noakes, and S.C. Dennis,
Waterand electrolyte shifts with partial fl uid replacementduring exercise. Eur
J Appl Physiol, 1999. 80: p.318-323.
16. Shirreffs, S.M., L.E. Armstrong, and N.
Samuel,Fluid and electrolyte needs for preparation and recoveryfrom training
and competition. Journal ofsports sciences, 2004. 22: p. 57-63.
17. Horswill, C.A., Effective fl uid
replacement. Int J SportNutr, 1998. 8(2): p. 175-95.
18. Below, P.R. and R. Mora-Rodriguez, Fluid
and carbohydrateingestion independently improve performance during 1 hour of
intense exercise. Med SciSports Ex, 1995.27(2): p. 200-210.
19. Walsh, R.M., et al., Impaired high
intensity cyclingperformance time at low levels dehdyration. Int JSport Med,
1994. 15: p. 392-398.20. Sawka, M.N. and K.B. Pandolf, Effects of
body waterloss on physiological function and exercise performance, in
Perspectives in Exercise Science and Sports Medicine: Fluid Homeostasis during
exercise,C.V. Gisolfi and D.R. Lamb, Editors. 1990: UnitedStates of America.
21. Phillips SM: Protein requirements and
supplementationin strength sports. Nutrition 2004, 20: 689-695.
22. Tarnopolsky MA: Protein requirements for
enduranceathletes. Nutrition 2004, 20: 662-668.
23. Ha E, Zemal MB: Functional properties of
whey, wheycomponents,and essential amino acids: mechanismsunderlying health
benefi ts for active people (review).J Nutr Biochem 2003, 14: 251-258.
24. Esmarck B, Andersen JL, Olsen S, Richter
EA, MizunoM, Kjaer M: Timing of postexercise protein intakeis important for
muscle hypertrophy with resistancetraining in elderly humans. J Physiol 2001,
535:301-311.
25. Flakoll PJ, Judy T, Flinn K, Carr C, Flinn
S: Postexerciseprotein supplementation improves health andmuscle soreness
during basic military training inMarine recruits. J Appl Physiol 2004, 96:
951-956.
26. Borsheim E, Aarsland A, Wolfe RR: Effect of
anamino acid, protein, and carbohydrate mixture on netmuscle protein balance
after resistance exercise. Int J Sport Nutr Exerc Metab 2004,14: 255-271.
27. Shimomura Y, Murakami T, Nakai N, Nagasaki
M,Harris RA: Exercise promotes BCAA catabolism: effectsof BCAA supplementation
on skeletal muscleduring exercise. J Nutr 2004, 134: 1583S-1587S.
28. Castell LM: Glutamine supplementation in
vitro andin vivo, in exercise and in immunodepression. SportsMed 2003, 33:
323-345.29. Paddon-Jones D, Borsheim E, Wolfe RR:
Potentialergogenic effects of arginine and creatine supplementation.J Nutr
2004,134: 2888S-2894S.
30. Flakoll P, Sharp R, Baier S, Levenhagen D,
Carr C,Nissen S: Effect of beta-hydroxy-beta-methylbutyrate,arginine, and
lysine supplementation on strength,functionality, body composition, and protein
metabolismin elderly women. Nutrition 2004, 20: 445-451.
31. Terjung RL, Clarkson P, Eichner ER,
Greenhaff PL,Hespel PJ, Israel RG, Kraemer WJ, Meyer RA,Spriet LL, Tarnopolsky
MA, Wagenmakers AJ, WilliamsMH: American College of Sports Medicineroundtable. The physiological and health
effects oforal creatine supplementation. Med Sci Sports Exerc2000, 32: 706-717.32. Alon T, Bagchi D, Preuss HG: Supplementing
withbetahydroxy- beta-methylbutyrate (HMB) to build andmaintain muscle mass: a
review. Res Commun MolPathol Pharmacol 2002, 111: 139-151.
33. Slater GJ, Jenkins D:
Beta-hydroxy-beta-methylbutyrate(HMB) supplementation and the promotion ofmuscle
growth and strength. Sport Med 2000, 30:105-116.
34. Gallagher PM, Carrithers JA, Godard MP,
SchulzeKE, Trappe SW: Beta-hydroxy-beta-methylbutyrateingestion, Part 1:
effects on strength and fat freemass. Med Sci Sport Exerc 2000, 32: 2109-2115.35. Panton LB, Rathmacher JA, Baier S, Nissen
S: Nutritionalsupplementation of the leucine
metabolitebeta-hydroxy-betamethylbutyrate (hmb) during resistancetraining.
Nutrition2000, 16: 734-739.36. Proske U, Morgan DL: Muscle damage from
eccentricexercise: mechanism, mechanical signs, adaptationand clinical
applications. J Physiol 2001, 537: 333-345.
37. Aoi W, Naito Y, Takanami Y, Kawai Y, Sakuma
K,Ichikawa H, Yoshida N, Yoshikawa T: Oxidativestress and delayed-onset muscle damage
afterexercise. Free Radic Biol Med 2004, 37: 480-487.
38. Phillips T, Childs AC, Dreon DM, Phinney S,
LeeuwenburghC: A dietary supplement attenuates IL-6and CRP after eccentric
exercise in untrained males.Med Sci Sports Exerc 2003, 35: 2032-2037.
39. Aoi W, Naito Y, Sakuma K, Kuchide M, Tokuda
H,Maoka T, Toyokuni S, Oka S, Yasuhara M,
Yoshikawa T: Astaxanthin limits
exercise-inducedskeletal and cardiac muscle damage in mice. AntioxidRedox
Signal 2003, 5: 139-144.
40. Marquez R, Santangelo G, Sastre J,
Goldschmidt P,Luyckx J, Pallardo FV, Vina J: Cyanoside chlorideand chromocarbe
diethylamine are more effectivethan vitamin C against exercise-induced
oxidativestress. Pharmacol Toxicol 2001, 89: 255-258.
41. Kato Y, Miyake Y, Yamamoto K, Shimomura Y,
OchiH, Mori Y, Osawa T: Preparation of a monoclonalantibody to
N(epsilon)-(hexanonyl)lysine: applicationto the evaluation of protective
effects of fl avonoidsupplementation against exercise-induced oxidative stress
in rat skeletal muscle. Biochem Biophys Res Commun 2000, 274: 389-393.
42. Petersen EW, Osrowski K, Ibfelt T, Richelle
M, Offord E, Halkjaer-Kristensen J, Pedersen BK: Effect of vitamin E
supplementation on cytokine response and on muscle damage after strenuous
exercise. Am J Physiol Cell Physiol 2001, 280: C1570-C1575.
43. Beaton LJ, Allan DA, Tarnopolsky MA, Tiidus
PM, Phillips SM: Contraction-induced muscle damage is unaffected by vitamin E
supplementation. Med Sci Sports Exerc 2002, 34: 798-805.
44. Beren J, Hill SL, Diener-West M, Rose NR:
Effect of pre-loading oral glucosamine HCl/chondroitin sulfate/ manganese
ascorbate combination on experimental arthritis in rats. Exp Biol Med (Maywood)
2001, 226: 144-151.
45. Suzuki Y, Nakao T, Maemura H, Sato M,
Kamahara K, Morimatsu F,Takamatsu K: Carnosine and anserine ingestion enhances
contribution of nonbicarbonate buffering. Med Sci Sports Exerc 2006,
38:334-338.
46. Harada R, Taguchi H, Urashima K, Sato M,
Omori T, Morimatsu F: Effects of a chicken extract on endu rance swimming in
mice. J Jpn Soc Nutr Food Sci 2002, 55: 73-78.
ฟังก์ชั่นอาหารสายตรงต่อสุขภาพ
สนทนาพาที
ในแวดวงของนักบริโภคนิยมทั้งหลาย
เชื่อว่าคงได้ยินคำว่า ‘อาหารฟังก์ชั่น’ มาบ้างล่ะโดยเฉพาะจากบุคคลกลุ่มที่ติดตามเรื่องของการกินอยู่เพื่อสุขภาพ
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าอาหารฟังก์ชั่น หรือ functional food คืออะไร และบางคนอาจจะกำลังสนใจจะลองเลือกรับประทาน
ความเคลื่อนไหวของสังคมในระยะนี้
ไม่ว่าจะเปิดโทรทัศน์ ท่องโลกไซเบอร์ผ่านโพรงข่ายอินเทอร์เน็ต
หรือเปิดหนังสือพิมพ์
นิตยสารต่างๆมักจะต้องได้รู้ได้เห็นถึงกระแสรักสุขภาพทั้งการบำรุง ซ่อม สร้าง
เสริม แก้ไข ป้องกัน และรักษาวัฒนธรรมการกินอาหารสุขภาพแบบต่างๆ ค่อนข้างเป็นที่นิยมและเป็นกระแสความที่นิยมที่ต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ อาหารแบบเกษตรอินทรีย์ อาหารปลอดสารพิษ พวกวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ
ล่าสุดกระแสความนิยมได้มาหยุดอยู่ตรง ‘อาหารฟังก์ชั่น’
มีผู้รู้ที่เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านโภชนาการได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารฟังก์ชั่นว่า
อาหารฟังก์ชั่น คือ อาหารเฉพาะทาง ลักษณะการกินอาหารฟังก์ชั่น ‘เป็นการกินเพื่อบำรุงร่างหายส่วนใดส่วนหนึ่ง’ อาหารฟังก์ชั่นเป็นกระแสการบริโภคอาหารที่ถือว่าไม่ใหม่มากเพราะเข้ามาในเมืองไทยได้ราวห้าปีแล้ว
แต่ในช่วงแรกที่เข้ามายังไม่เป็นที่รู้จักและไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าใดนัก
และเมื่อสอบถามถึงเส้นทางการเข้ามาของกระแสนิยมอาหารแนวนี้นั้นโภชนากรคนเก่งที่เป็นคุณหมอท่านนี้ก็อธิบายตามแนวคิดของตนเองว่า
การกินอาหารแนวนี้น่าจะเริ่มต้นในหมู่นักกีฬาแถบแถวยุโรป
ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่สังเกตจากผู้นิยมการออกกำลังกาย ที่มักจะกินโปรตีน
สกัดเพื่อช่วยในการเพิ่มกล้ามเนื้อ ตลอดจนถึงนักกีฬาโอลิมปิคที่ฟิตซ้อมร่างกาย
และดูแลเรื่องอาหารหารกินพร้อมที่จะลงสู้ศึกทุกเมื่อ
ส่วนความนิยมในบ้านเมืองของเรา
ตอนแรกที่อาหารฟังก์ชั่นเริ่มเข้ามาแพร่หลายกระจายจากความนิยมนั้น
แนวค่อนข้างจะโน้มไปทางด้านอาหารเสริม หรือาหารบำรุงจำพวก ‘ซุปไก่สกัด’หรือ ‘รังนกบรรจุขวด’ ซึ่งมีการโฆษณา
ว่าบำรุงร่างกายฟื้นฟูสภาพส่วนอีกกลุ่มที่นิยมก็คือนิยมตามกัน (ก้น) ฝรั่ง
คือนิยมกินอาหารฟังก์ชั่นให้มีกล้ามเนื้อในหมู่ผู้ออกกำลังกาย
คือมาจากความขี้เกียจออกกำลังกาย แต่อยากมีกล้าม อยากหุ่นดีๆ ไว้โชว์เพศตรงข้าม
แต่ขี้เกียจรอ ไม่อยากใช้เวลา ไม่อยากลงทุนออกกำลังกาย จึงเลือกที่จะกินโปรตีน
สร้างกล้ามเนื้อเลยเสียเลย ง่ายดี แบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย
ส่วนกระแสนิยมอาหารฟังก์ชั่นตอนนี้ มันพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือ
จากที่กินอาหารฟังก์ชั่นเพื่อบำรุงร่างกาย ก็มาเป็น บำรุงร่างกายส่วนไหน
ฟังก์ชั่นอะไร เดี๋ยวนี้จะสังเกตเห็นมากขึ้นอย่างทั่ว เครื่องดื่มเบอร์รี่สกัด
ที่มีการโฆษณาว่าช่วยบำรุงสายตา พรุนสกัดช่วยระบายท้องหรือ พวกโปรตีนจากถั่วหรือธัญพืช
ที่โฆษณาว่าช่วยบำรุงสมอง คือมีการเจาะเฉพาะส่วนว่าบำรุงระบบการทำงานฟังก์ชั่นไหนหรืออวัยวะใดของร่างกาย
มีความเข้าใจของคนทั่วไปจำนวนไม่น้อย ที่มองว่า ‘อาหารฟังก์ชั่นเป็นยา’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เสียทีเดียว
อาหารฟังก์ชั่นไม่เชิงเป็นยา แต่คุณสมบัติภายในอาหารนั้นๆ
จะช่วยเสริมจุดด้อยเฉพาะจุด
ที่ในปัจจุบันนี้เริ่มจะขยายขอบข่ายจากบำรุงสุขภาพเฉพาะจุด โดยเพิ่ม ‘ฟังก์ชั่นการบำรุงสุขภาพด้านความสวยงาม’ เข้าไปด้วย
แต่ก่อนจะสังเกตเห็น ‘การสกัดสารอาหารในรูปของการสกัดมาจากวัตถุธรรมชาติ’เช่น จากผลพรุน จากผลเบอร์รี่ หรือ โอเมก้า 3 จากปลาทะเล แต่ระยะหลังจะเริ่มเห็นอาหารฟังก์ชั่นที่เป็น ‘เคมิคอล’อย่างพวก ‘คอลลาเจน’ ที่โฆษณาว่ากินแล้วหน้าตึง กินแล้วจะไม่มีรอยเหี่ยวย่นหรือผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ
‘กลูต้าไธโอน’ ที่บอกว่ากินแล้วผิวจะขาวขึ้น ซึ่ง อาหารฟังก์ชั่นที่สกัดจากเคมีค่อนข้างอันตราย
กว่าที่สกัดจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ
คนไทยส่วนใหญ่ที่เลือกดูแลสุขภาพด้วยการกินอาหารฟังก์ชั่น
มักจะซื้อกินเองโดยไม่ขอคำปรึกษาจากแพทย์ ตัวอย่างเช่น เบอร์รี่สกัด กินมากเกินไปก็อาจจะต้องดูแลเรื่อง
น้ำตาลหรืออย่าง พรุน ก็ถ้ากินมากไปก็อาจจะ ถ่ายท้อง มากกว่าปกติซึ่งไม่อันตรายมากนัก
แต่หากเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่สกัดจากเคมี ถ้าหากกินมากๆ
ก็อาจจะเกิดการสะสมสารเคมีในร่างกาย และอาจเป็นอันตรายในระยะยาวได้
ข้อนี้จึงต้องคำนึงให้มาก
สรุปแล้ว ‘อาหารฟังก์ชั่น’ ดีหรือไม่ดีกันแน่
อาหารแบบนี้จะได้ผลมากในกรณีที่ร่างกายต้องการปรับปรุง เช่น ผู้ที่พักฟื้นหลังผ่าตัดเคมีหรือผู้ที่มีความสะเทือนใจมากๆเกิดภาวะเครียด
เช่น อาจจะมีปัญหาเลิกกับแฟน ญาติเสีย กินไม่ได้นอนไม่หลับ กินไม่ลง
อันนี้อาหารฟังก์ชั่นจะช่วยได้มาก หรือตอนนี้ที่นิยมกันในหมู่ผู้สูงอายุวัยสี่สิบขึ้นไป
ก็คือ ‘อาหารฟังก์ชั่น’ ที่กินแล้วช่วยให้น้ำในข้อมากขึ้น
กรณีนี้กินเพื่อลดอาหารปวดข้อจากอาการข้อเสื่อมในผู้สูงอายุช่วยได้มาก
แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรพิจารณาเองแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ขอเสนอแนะไปถึงผู้ที่นิยมกิน ‘อาหารฟังก์ชั่น’ สิ่งที่ควรทำก่อนจะตัดสินใจกินนั้นคือควรต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชายเฉพาะด้าน
เช่น นักโภชนากร หรือย่างน้อยที่สุด ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุส่วนประกอบ
และคำแนะนำการกินให้ชัดเจน เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
เพราะไม่เช่นนั้นอาหารที่เชื่อว่าจะดีต่อร่างกายทำให้ร่างกายกระเตื้องขึ้นนั้น
อาจจะทำให้สุขภาพทรุดเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน
สรุปว่า ‘อาหารฟังก์ชั่น’ ที่กินเข้าไปนั้น
ก็เพื่อตอบสนองสถานะภาพสถานภาพหนึ่งซึ่งไม่ใช่สภาพปกติ
เป็นสถานะภาพเฉพาะในช่วงเวลานั้นๆ เช่น
สถานะภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีความต้องการแคลเซียมหรือธาตุเหล็กมากว่าปกติ
เพื่อตอบสนองสภาพสรีระที่ต่างออกไป
หลายต่อหลายท่านลงความเห็นว่า พวกซุปไก่สกัด หรือ รังนกสำเร็จรูป
ใส่ขวดที่ขายๆกันมันไม่น่าจะใช่อาหารฟังก์ชั่น ในเชิงวิชาการแล้วมันน่าจะถูกจัดอยู่ในประเภท
‘เครื่องดื่ม’มากกว่าเพราะตามหลักวิชาการอาหารฟังก์ชั่นต้องมีผลวิจัยทางวิชาการว่า กินแล้วจะช่วยได้ไหม
บำรุงอะไร แต่พวกนี้ไม่ค่อยมีผลวิจัยหรือถ้ามีก็ไม่เป็นที่ยอมรับในระดับมาตรฐาน
ดังนั้น การจำกักความและความหมาย ‘อาหารฟังก์ชั่น’ นั้นยังไม่แน่ชัด
เนื่องจากในแต่ละประเภทที่ผลิตอาหารแนวนี้มีบทสรุปหรือคำจำกัดความไม่เหมือนกันแต่จริงๆไม่ใช่ของใหม่จีนก็มีมานานแล้ว
จะเห็นได้ว่าเขาจะมี อาหารสำหรับคนท้อง หรือ อาหารบำรุงคนป่วยไทยเองก็ไม่ใช่ไม่มี
ภูมิปัญญาไทยแท้ๆนี่ก็ใช่ ‘อาหารฟังก์ชั่น’ อย่างเวลาคนท้องเราจะให้กิน ‘ปลาเล็กปลาน้อย’ อันนี้ก็ใช่ เพราะกินแล้วได้ แคลเซียม และมีผลวิจัยทางวิชาการชัดเจนด้วยแต่ของพวกนี้หมายถึงอาหารบำรุงคนท้องอย่างปลาเล็กปลาน้อย
ไม่สามารถที่สร้างเป็นสินค้าที่มีมูลค่าด้านการตลาดได้
เพราะเป็นอาหารที่กินกันทุกบ้าน ไม่ใช่อาหารการกินแปลกพิสดารอะไร
มันจึงทำกำไรไม่ได้ ก็เลยไม่เป็นที่นิยมของผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้จำหน่าย
ในประเทศที่มีระดับเศรษฐกิจดี มีกำลังจับจ่ายในเรื่องของสินค้าบริโภคนั้นจะมีหน่วยงานวิจัยเรื่อง
‘อาหารฟังก์ชั่น’ กันเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียวโดยเฉพาะในสาย วิทยาศาสตร์การกีฬา
ที่ต้องวิจัยผลิตอาหารเพื่อนักกีฬาอย่างเหมาะสม เช่น อาหารที่เข้าไปทำงานด้านฟังก์ชั่นกล้ามเนื้อ
ให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งหรืออาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง ‘แครกเกอร์พิเศษ’สำหรับนักกีฬาที่จะให้คนเหล่านี้มีแรง
พวกนี้ไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะกินเข้าไปเท่าไหร่ก็ใช้หมด
แต่หากเป็นคนธรรมดาที่มีสภาพร่างกายปกติ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องกินอาหารฟังก์ชั่นเหล่านี้แต่อย่างใด
ซึ่งกว่าจะวิจัยออกมาเป็นอาหารฟังก์ชั่นนั้นๆ
จำเป็นต้องใช้ทีมวิจัยงบประมาณและองค์ความรู้รวมถึงระยะเวลาในการวิจัยไม่น้อย
ดังนั้น สูตรอาหารพิเศษเหล่านี้มักจะเป็นความลับ ยากที่จะเปิดเผยง่ายๆ
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นอาหารฟังก์ชั่นของประเทศไทย
ยังต้องใช้เวลาในการทดลองวิจัยเชิงวิชาการอีกมาก
ในการก้าวให้ทันกับประเทศที่เขาเริ่มมาก่อน
คนที่เลือกคิดจะกิน ‘อาหารฟังก์ชั่น’ ต้องดูให้ดีว่าผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชั่นที่อยากจะกินนั้น
มีผลวิจัยพิสูจน์และรับรองทางวิชาการที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ ถ้าไม่มีก็เสมือนกับว่าหลอกเอาสตางค์ผู้บริโภค
ดังนั้นผู้บริโภคทั้งหลายต้องคำนึงด้วยว่า
ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องของกระบวนการทางการค้าไปแล้ว มีการโฆษณามีการแนะนำสรรพคุณ
ผลิตภัณฑ์จนเกินจริงไปก็มี
เห็นอย่างนี้ราคาสูงลิบลิ่วและส่วนมากก็มุ่งแต่ขายเอากำไร ไม่ได้มองในแง่ของประโยชน์เพื่อของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
อาหารบำรุงประเภท ‘อาหารฟังก์ชั่น’ ไม่ใช่เมืองไทยก็มีและมีมานานแล้วเป็นภูมิปัญญาเก่าแก่สิ่งที่ดีที่สุดคือ
การกินอาหารให้ครบห้าหมู่ อย่างไรก็ตาม อาหารสด สุกใหม่ ครบห้าหมู่ที่ร่างกายต้องการคือสิ่งที่ดีที่สุด
(สมพงษ์ บัวแย้มและคณะ, 2554)
‘ฟังก์ชัน’ สารอาหารแห่งสุขภาพ อีกทางเลือกของคนรักสุขภาพ
หลายต่อหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ‘ฟังก์ชัน’ คืออะไรกันแน่
เป็นชื่อของอาหารเสริมยี่ห้อใหม่หรืออร่อยมั้ย จัดอยู่ในอาหารประเภทใด
ดีต่อสุขภาพจริงหรือ แพงหรือเปล่า ซื้อหาได้ที่ไหน มีใครลองกินแล้วมั่ง ฯลฯ
หากอยากทราบรายละเอียดเชิญทางนี้
ยามใดคุณเดินเข้าไปในตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เกตในยุคนี้จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาหารและเครื่องเดิม
ที่มีการโฆษณาว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ให้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
มีประโยชน์ของร่างกาย ในบรรจุภัณฑ์เป็นถุงหรือกล่องที่ออกแบบอย่างสวยงามน่าซื้อ
พกพาสะดวก พร้อมกับคำบรรยายสรรพคุณต่างๆ เป็นต้นว่า รสอร่อย อุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิด
กากใยอาหาร ฯลฯ
สินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาสรรพคุณ
น่าอร่อย น่าลิ้มลองเหล่านี้ก็คือ อาหารฟังก์ชัน (Functional food) ที่กำลังจะกล่าวถึง
ผู้ผลิตอาหารเป็นสินค้าปัจจุบันนี้
หลายรายที่พยายามเพิ่มหรือเติมสารอาหารที่สังเคราะห์มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มธรรมดา
ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองและผู้คนในครอบครัวกันมากขึ้น
เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่มีสาเหตุของอาหารการกิน
จึงไม่น่าแปลกว่าธุรกิจประเภทอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถทำกำไรมหาศาลให้ผู้ประกอบการ
จนน่าอิจฉา
เอาละ หันมาสนใจอาหาร ‘ฟังก์ชัน’ จนต่อดีกว่าความจริงแล้วอาหารประเภทนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบเอเชียของเราๆนี่แหลอาหารทำนองนี้มานานแล้ว
แต่อยู่ในรูปแบบอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆเพื่อป้องกันและรักษาโรคมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น อาหารจีนที่ใช้เครื่องเทศหลากหลายชนิด แต่การใช้ชื่อเรียก ‘อาหารฟังก์ชัน’
มีจุดกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่นกว่า 20 ปีมาแล้ว
เมื่อรัฐบาลของเขาเห็นชอบและสนับสนุนไห้ทุนเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาสารอาหารที่ได้จาก
สัตว์ พืช หรือแบคทีเรีย ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์เราอย่างไรบ้าง
ซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า ‘อาหารเพื่อประโยชน์เฉพาะต่อสุขภาพ’ หรือ FOSHU
ปี พ.ศ. 2531 ประเทศแคนาดา สวีเดน
ได้ออกกฎหมายแจ้งให้ผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ที่ใช้สารอาหารแบบนี้ต้องติดฉลากลงบนสินค้า
จนถึงปัจจุบันกระแสนิยมของอาหารก็ขยายเข้าสู่การแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นอย่างมาก
ซึ่งประเด็นหลักของจุดขายใหญ่ก็คือ นำเสนอความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด
เน้นผลดีด้านสุขภาพ ป้องกันโรคต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายสดชื่น มีกำลังวังชา
ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค ชะลอความแก่เฒ่า และสุดท้ายก็คือหาซื้อได้สะดวก
รับประทานหรือดื่มได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น น้ำผลไม้ นม กาแฟ เครื่องดื่มธัญพืช
เครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ฟิตซ้อมร่างกายอยู่ประจำหรือนักกีฬาเป็นต้น
แหล่งที่มาของ
‘อาหารฟังชัน’ สามารถแบ่งออกตามลักษณะได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ
-
สารอาหารที่มาจากสัตว์
-
สารอาหารที่มาจากแบคทีเรีย
-
สารอาหารที่มาจากพืชผักผลไม้ต่างๆ
สารอาหารที่ได้จากสัตว์
‘โอเมก้า-3’ และ ‘โอเมก้า-6’ เป็นสารอาหารที่ได้รับการเติมลงในผลิตภัณฑ์มากและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคส่วนใหญ่
จะพบเห็นสารอาหารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์อาหารตลาด กลุ่มวัยเด็ก วัยทำงานและผู้สูงอายุ
เนื่องจากเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ นั่นคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic
acid) เป็นกรดไขมันชนิด โอเมก้า-6 (omega-6) และ กรดอัลฟ่าไลโนเลนิก
ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิด โอเมก้า-3 (omega-3) กรดไขมันทั้ง 2ชนิดเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่ม eicosanoid ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 มีผลลดการอักเสบเมื่อเทียบกับกรดไขมันชนิด โอเมก้า-6 จึงอาจเป้นผลประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบต่างๆ
เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
และกรดไขมันชนิดนี้ก็ยังช่วยลดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ด้วย นอกจากนี้
กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ที่พบมากใน ปลาทะเล (Eicosapentaenoic
acid, EPA และ Docosahexaenoic acid, DHA)
ยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเป็นการลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
และหลอดเลือด
‘กรดไลโนเลอิค’ และ ‘กรดไลโนเลนิค’ เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายได้จากอาหารเท่านั้น
ร่างกานคนเราไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้
จึงต้องหามาจากอาหารซึ่งมีจำนวนน้อยนอกจากจะพบในพืชแล้วยังมีใน ‘ปลาทะเล’ มีประโยชน์ในการควบคุมระบบความดันโลหิต
ควบคุมระดับไขมันในเลือด ระบบฮอร์โมนต่างๆ
ลดการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อทางด้านสุขภาพจึงนำมาใช้ควบคุมด้านสุภาพของระบบเส้นเลือดแล้วยังใช้ในสุขภาพผิวอีกด้วย
ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้จะทำไห้ผิวสดชื่น ไม่แห้งหยาบ คัน หรือลดการเป็นจุดด่างดำ
โดยเฉพาะสตรีที่มีอายุเลยวัย 40
แคลเซียม
เป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่รู้จักอย่างดี
เพราะช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งปรง
ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมมักจะเสริมวิตามันดี
และวิตามินเค เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและสร้างเนื้อเยื่อกระดูก
ลดอัตราของการเกิดโรคกระดูกพรุน
กลุ่มวิตามินบี
ได้แก่ วิตามินบี1
บี2 ไนอาซิน บี6 บี12 แพนโธทีนิก และ กรดโพลิค
(Pholic) มีผลต่อสมาธิ ความคิดความจำและความฉลาด
อาหารในกลุ่มนี้ช่วยป้องกันสมองเสื่อม โดยเฉพาะกรดโพลิค วิตามินบี6 บี12 จะช่วยกันทำงานป้องกันการลดระดับของฮอร์โมนซีตเตอีนในเลือด
ทำให้ความจำการเรียนรู้ ไม่ล่าถอยลง มีในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์นม และอาหารทะเล
กรดอะมิโน
และ โปร์ตีนเวย์
มีผผลในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โปรตีนจากนมในส่วนที่เรียกว่า
โปรตีนเวย์ (whey protein) ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น
ช่วยในการสร้าง กลูตาไธโอน (glutathione)
ซึ่งเป็นสารต้ายอนุมูลอิสระธรรมชาติในร่างกาย ในน้ำนมแม่มีโปรตีนเวย์อยู่ในปริมาณสูง
จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทารกที่กินนมแม่มักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย กรดอะมิโนอาร์จินีน
และ กลูตามีน มีบทบาทต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
โดยกลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
การให้กลูตามีนเสริมในผู้ป่วยหนักที่ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานาน
พบว่าช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารดีขึ้นและลดการติดเชื้อได้
แบคทีเรีย
เป็นแบคทีเรียสุขภาพที่ดีพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
และขับถ่ายของมนุษย์
พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ส่วนของอาหารที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร
ซึ่งมีผลทำให้การกระตุ้นการเจริญของแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ใหญ่หรือ โพรไบโอติก
นั่นเอง การหมักพรีไบโอติกจะได้กรดไขมันชนิดสายสั้น เช่น อินูลิน
ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ กาแลกโตโอลิโกแซกคาไรด์
ช่วยปรับสมดุลการขับถ่ายและด้วยคุณสมบัติเหมือนใยอาหาร พรีไบโอติก
ก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
เนื่องจากผลของการเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระและผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้
จึงช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นและยังช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ เช่น แคลเซียม เหล็ก
แมกนีเซียม และ สังกะสี
โพรไบโอติก (Probiotics) กลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเข้าไปอยู่ในระบบร่างกายของมนาย์และสัตว์
แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
โดยจุลินทรีย์สุขภาพนั้นทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้
ช่วยป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ชนิดก่อโรคมาเกาะติดผนังลำไส้และหลั่งสารพิษที่มีผลทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบได้
เพิ่มความแข็งแรงของผนังลำไส้ ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย
โดยลดระยะเวลาของโรคและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาอาการไม่ทนต่อแลคโตส
(Lactose inyolerance) เนื่องจากแลคโตสไม่สามารถถูกย่อย
ดังนั้นหลายคนที่ดื่มนมแล้วจึงเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน ปวดท้อง โพรไบโอติก
ในอาหารประเภทนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตสามารถช่วยบรรเทาอาการนี้ได้
เนื่องจากโพรไบโอติกได้ช่วยย่อยแลคโตสไปแล้วในระหว่างการหมัก
จึงทำให้มีแลคโตสเหลือน้อยกว่าหรือไม่มีเลย
แลคโตบาซิลลัส และ เสต็ปโตคอกคัส
(หลายคนคงคุ้นชื่อแบคทีเรียชนิดนี้ จากการโฆษณานมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่ง)
เป็นแบคทีเรียยอดนิยมในอาหารประเภทนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตต่างๆ
บางสายพันธุ์อาจช่วยให้ระบบลำไส้แข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด
อีกทั้งยังช่วยลดระดับ โคเลสเตอรอล ในคนบางกลุ่มแต่จะทำงานได้ดียิ่งขึ้นถ้าได้รับแคลเซียม
วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบี 2 ฟอสฟอรัส และโพรไบโอติกร่วมด้วย จากพืช ผักและผลไม้
ได้แก่ กากใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ
ที่คนเราต้องการในแต่ละวัน
แม้จะต้องการปริมาณไม่มากแต่ก็ขาดไม่ได้และกลุ่มวิตามินป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์
เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี หรือศาสตร์ชะลอแก่พวก แอนติออกซิแดนซ์
ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น
คอลลาเจน
เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของผิวหนังทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในและเป็นตัวเชื่อมอวัยวะต่างๆในร่างกาย
และช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวล ยืดหยุ่นได้ดี ไม่เหี่ยวย่น
จึงได้รับความสนใจในการใช้อาหารเสริมอาหารเพื่อสุขภาพผิวการได้รับเสริมในอาหารอาจจะช่วยหรือกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์
คอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวที่ต้องการทำวิจัยเพิ่มเติม
ฟลาโวนอยด์ เป็นสารมี่ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง ลดการอักเสบของข้อ
ชะลอภาวะหลงลืมง่าย
โคเอนไซม์คิว 10 เป็นสารที่ทำหน้าที่กับสารตัวอื่นๆในการรักษาอาการผิดปกติมานานแล้วในวงการแพทย์
มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่งเสริมภูมิต้านทาน
ทำให้ร่างกายสดชื่นกระฉับกระเฉง ป้องกันโรคสมองเสื่อมและลดความดันโลหิต
แต่ช่วงหลังได้รับความสนใจมากจากในเรื่องยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระ เราๆ ท่านๆ
สามารถรับโคเอนไซม์คิว 10 ได้จากการรับประทาน ตับ
เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น
ไลโคปีน
สารอาหารที่พบมากใน ผักหรือผลไม้ที่มีสีสันแดง-ส้ม หรือผลไม้จำพวกที่ขึ้นต้นด้วย
‘มะ’ ทั้งหลาย
เช่น มะเขือเทศ มะม่วง มะปราง มะละกอ ป้องกันเซลล์ระบบภูมิต้านทานจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
ป้องกันภาวะจอตาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง
คาเตซิน ช่วยป้องกัน
การเกิดโรคมะเร็ง มีส่วนช่วยลด โคเลสเตอรอล และช่วยลดการแข็งตัวของเลือด
ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ
200 มิลลิกรัม เรามักพบสารนี้ในเครื่องดื่มประเภท ชา
หรือ กาแฟ ข้อควรระวังคือ สตรีที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียว
เพกติน
มาจากใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยป้องกันหลอดเลือดจากกการทำลายของโคเลสเตอรอลชนิดร้าย
มีประโยชน์ต่อการรักษา โรคอุจจาระร่วง และ โรคเบาหวาน
ลูเตอิน และ ซีแซนทิน
เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ได้มาจาก ผัก และ ผลไม้ที่มีสีเหลือง
ส้มและเขียวสดช่วย บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น
กรดไฮยาลูโรนิค
เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติสำคัญคือ
สร้างความยืดหยุ่นและชามชื้นแก่ผิวหนัง เพราะสามารถดูดและอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่า
สารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสุดฮิตที่เติมลงในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายความนิยมมาในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบ้างเพื่อสร้างจุดขาย
แต่เนื่องจากปริมาณที่เติมมีสัดส่วนน้อย
ดังนั้นจึงเป็นการรับประทานตามกระแสมากกว่าหวังผล 100%
ดังนั้นไม่ว่า อาหาร หรือ เครื่องดื่ม
จะผ่านกระบวนการคิดค้น
วิจัยหรือพัฒนาให้อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างครบครันแค่ไหนก็ตาม ร่างกายของคนเราก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ
ใหม่ๆ ทั่วไปเป็นหลัก เพราะ ร่างกายคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายจากอาหารหลากชนิด
การหวังพึ่งหรือยึดติดกับอาหารแห่งอนาคตมากไปไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างยั่งยืน
พูดง่ายๆ คือ ต้องเดินสายกลาง ถ้าคุณคิดว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำอยู่แล้ว
ก็ไม่ต้องดิ้นรนหามารับประทานมากนัก
หากคิดว่าชีวิตประจำวันยุ่งจนไม่มีเวลารับประทานอาหารให้ครบได้
ก็รับประทานอาหารหลักคู่กับอาหารที่เติมสารอาหารพิเศษร่วมด้วยก็ได้
แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมแก่ความต้องการและถูกกับโรคของตัวเอง
ขอให้ทุกคนตระหนัก
กรณีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันที่โฆษณาอ้างเกินจริง
เทคโนโลยี ที่ทันสมัย
ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทางเลือกแห่ผู้ซื้อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย
และครับถ้วนจากการรับ (สมพงษ์ บัวแย้ม,2554)
อ้างอิงและบรรณานุกรม
สมพงษ์ บัวแย้ม. (2554). ฟังก์ชั่น
อาหารสายตรงต่อสุขภาพ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พงษ์สาส์น.
อยากท้องอ่านตรงนี้
เมื่อวันที่ 29 เมษายนปีนี้ www.environmentalhealthnews.org ได้ตีพิมพ์บทความหนึ่งชื่อ “Miscarriage
rick rises with BPA exposure, study finds” ซึ่งเราควรสนใจบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะในตอนสุดท้ายบทความได้สรุปว่า สตรีที่สัมผัสต่อบีพีเอ ( bi-sphenol A หรือ PBA )
ระดับสูงในช่วงเริ่มตั้งท้องจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงขึ้นถึงร้อยละ 83 เมื่อเทียบกับผู้ไม่สัมผัส
ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแสตน-ฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้อาสาสมัคร 115 นาง ซึ่งท้องแล้วไม่เกิน 4 อาทิตย์
พบว่าอาสาสมัครที่ระดับบีพีเอในเลือดยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแท้งง่ายเท่านั้น
รายงานการศึกษาใหม่นี้ได้เพิ่มหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
ความเข้มข้นต่ำของสารเคมีที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตและในกระป๋องบรรจุอาหาร ตลอดจนใบเสร็จรับเงินอย่างง่าย ( แบบว่ารับได้จากสถานีเติมน้ำมัน
ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ) นั้นมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์
อาจารย์ในภาควิชาสูตินารีเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กลุ่มหนึ่ง
( ณ เวลาที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับนี้ ) กำลังจะตีพิมพ์บทความเรื่อง Conjugated bisphenol A (BPA) in maternal serum in relation to
miscarriage risk ในวารสารชื่อ Fertility and Sterility ซึ่งกล่าวประเด็นสำคัญหนึ่งว่า “ คู่ผัวตัวเมียที่มีปัญหาในการมีลูกหรือผู้ที่แท้งใหม่ๆ
ควรลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารบีพีเอเพราะมันน่าจะเป็นสารที่มีผลลบต่อการพัฒนาของตัวอ่อนในท้องแม่
อย่างไรก็ดี
การศึกษาใหม่นี้ยังไม่ได้หมายความว่า พีบีเอก่อให้เกิดการแท้งลูก
สิ่งที่ค้นพบนั้นอยู่บนฐานของการตรวจเลือดของหญิงแต่ละนาง 1-2 ครั้งระหว่างท้องและที่สำคัญคือ
ยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก
เมื่อมีการเผยแพร่ผลการศึกษานี้ก่อนการตีพิมพ์ในวารสารอย่างเป็นทางการ ก็มีสูตินารีแพทย์อีกท่านหนึ่งของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ( University of
Rochester’s
Medical Center )
ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการวิจัยดังกล่าวให้ข้อสังเกตต่อวานวิจัยนี้ว่า แม้ว่าการแท้งนั้นเกิดในอาสาสมัครถึง 68 คนจาก 115 คน (
ซึ่งเป็นอัตราเสี่ยงประมาณ 3 เท่าของสาวอเมริกันทั่วไป ) ก็ตาม
แต่อาสาสมัครของโครงการนั้นเป็นผู้ที่ความเสี่ยงต่อการแท้งสูงอยู่แล้ว
เพราะมิเช่นนั้นคงไม่มาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ให้เสียเวลา ดังนั้นความสัมพันธ์ของสารนี้กับการแท้ง อาจไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ขยายไปถึงสาวๆทั่วไป
อย่างไรก็ดีแพทย์ท่านนี้ก็ได้กล่าวว่า
งานวิจัยนี้เป็นการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนอีกหนึ่งชิ้นที่กล่าวว่า
สารเคมีนิ่งแวดล้อมนั้นอาจเป็นปัญหาต่อการตั้งครรภ์ได้
มีข้อมูลเชิงสมมติฐานที่ผู้เขียน
ขอเสนอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาคือ มีสารธรรมชาติชนิดหนึ่งชื่อ เจ็นนิสติน
( genistein )
ซึ่งเป็นสารไซโตเคมิคอลในถั่วเหลืองที่มีศักยภาพคล้ายสาร
เอสโตรเจนจึงสมารถจับกับตัวรับเอสโตรเจน ( estrogen receptor ) ของเซลล์ต่อมน้ำนมและเซลล์มดลูกได้
แต่ออกฤทธิ์น้อยกว่ากว่าเอสโตรเจนมาก
ซึ่งผลที่ตามมาคือ เอสโตรเจนที่มีมากเกินพอในสาวๆบางคนไม่สามารถออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการคัดหน้าอกและปวดมดลูกตอนมีประจำเดือน ซึ่งเราถือว่าเป็นผลดีของเจ็นนิสตีน
ที่น่าสนใจคือ Wikipedia ก็ได้ให้ข้อมูลว่า
บีพีเอนั้นสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของทศวรรษ 1930 โดยนักชีวเคมีชาวอังกฤษชื่อ Edward Charles Dodds โดยมุ่งหวังให้เป็นเอสโตรเจน
( ฮอร์โมนเพศหญิง ) สังเคราะห์
แต่ปรากฏว่ามันมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติถึง 37,000 เท่า
เขาจึงหันไปสังเคราะห์สารอีกตัวหนึ่งชื่อ Diethylstilbestrol (DES) ซึ่งได่ผลสมใจเพราะมันออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน (
และมีฤทธิ์แรงกว่า)
จึงช่วยแก้แพ้ท้อง
แต่มีผลข้างเคียงทำให้ลูกสาวของผู้กินยานี้เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเมื่อเข้าสู่วัยสาว สารนี้จึงถึงยกเลิกการนำมาใช้
ดังนั้นถ้าเราเชื่อในสมมติฐานที่กล่าวว่า
ขณะกำลังท้องระดับเอสโตรเจนของสาวๆต้องเพิ่มขึ้นเพื่อไปกระตุ้นให้ตัวอ่อนในมดลูกมีการพัฒนาตามรูปแบบที่ควรเป็น (
เอสโตรเจนมีศักยภาพในการกระตุ้นการแบ่งและพัฒนาเซลล์ของตัวอ่อนให้เจริญอย่างรวดเร็ว
) แต่บีพีเอ
(
ซึ่งมีศักยภาพค่อนข้างต่ำมากๆที่จะออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจน ) อาจแย่งที่ในการจับตัวกับตัวรับเอสโตรเจน
ส่งผลให้เอสโตรเจนเข้าจับตัวกับเซลล์ตัวอ่อนน้อยลง
ทำให้ตัวอ่อนในท้องแม่ไม่พัฒนาเท่าที่ควรจึงแท้ง (
ปกติผู้หญิงที่กำลังเริ่มท้องจะมีอาการแท้ท้องมากบ้างน้อยบ้าง
แต่ถ้าวันไหนเลิกแพ้ท้องให้ระแวงได้เลยว่า
น่าจะแท้ง )
สมมติฐานคล้ายกันนี้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแล้ว
แต่เป็นการศึกษาถึงผลการได้รับเจ็นนิสตีนในระดับสูงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสัตว์ทดลองว่าทำให้สัตว์ทดลองมีลูกน้อยลง และคล้ายกันกับการศึกษาทางระบาดวิทยาในผู้หญิงที่อยากท้องแต่กินผลิตภัณฑ์
( แก้ว
กังสดาลอำไพ ; 2557 )
อ้างอิงและบรรณานุกรม
แก้ว กังสดาลอำไพ. (2554).
ฟังก์ชั่นนอลฟู้ดอาหารเพื่อสุขภาพ. ฉลาดซื้อ, 61-63.
อาหารฟังก์ชั่น
การดำเนินชีวิตในยุคนี้จำเป็นต้องปรับตัว
เพราะบางครั้งคนเราอาจจะละเลยในการเลือกบริโภคอาหารบางคนเพียงคิดว่าอาหารชนิดนี้อร่อยก็จะรัปประทาน
หรือเลือกตามอรรถประโยชน์ของตนนั้นเอง บางคนก็มีความเชื่อผิดๆ ที่ว่างดอาหารเย็นเพื่อลดน้ำหนักหรือบางคนก็ละเลยการรับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญซึ่งเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งองค์ประกอบหลักในการแบ่งอาหารมีอยู่2ประเภท 1)ส่วนที่เป็นสารอาหาร
2)ส่วนที่ไม่เป็นสารอาหาร (เอกราช บำรุงพืชน์,2554)
ความหมาย
อาหารฟังก์ชั่นมีรากฐานจากปรัชญาของฮิปโปเคตีส นักปรัชญาชาวกรีก
ซึ่งมีแนวคิด “ใช้อาหารเป็นยา”ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและมีงานวิจัยสนับสนุน คือ ผักและผลไม้
ซึ่งเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่นบร็อคโคลี่ แครอท มะเขือเทศ
และพรุน ในบล็อคโคลี่มีสารซัลโฟราเฟน ส่วนแครอทมีเบต้าแครอทีน
มะเขือเทศมีสารไลโคปีน และพรุนมีใยอาหาร ซึ่งสารประกอบเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
คือ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด (เรวดี
จงสุวัฒน์, 2553)
อาหารฟังก์ชั่น
หมายถึงอาหารหรือสารอาหารชนิดใด ๆ
ที่อยู่ในรูปธรรมชาติหรือที่ถูกแปรรูปไปเพื่อให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับจากสารอาหารหลักที่กินกันในชีวิตประจำวัน
และยังมีสารที่อาจมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายในการป้องกันโรคบางชนิด
เพิ่มภูมิต้านทานโรค ป้องกันหรือชะลอความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
และเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น
(ไทยโพส,2554)
“อาหารฟังก์ชั่น
(Functional food) หมายถึง
อาหารหรือสารอาหารชนิดใดๆ
ที่อยู่ในรูปธรรมชาติหรือที่ถูกแปรรูปไปเพื่อให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับจากสารอาหารที่รับประทานกันในชีวิตประ-จำวัน” (มัลลิกา นามสง่า,2556)
Functional
Foods คือ
อาหารที่ทำหน้าที่อย่างอื่นให้กับร่างกายนอกเหนือไปจากหน้าที่ปกติที่ทำประจำอยู่เดิมในการให้สารอาหารที่จำเป็น
(Institute of Medicine, 1994)
ซึ่งทำหน้าที่ที่พิเศษไปกว่าหน้าที่ปกติ ดังนี้
-
ส่งเสริมระบบการป้องกันตนเองของร่างกาย (Bio-defensiveness)
-
ส่งเสริมและควบคุมให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานได้อย่า
สม่ำเสมอ (Rhythm of physical condition)
- ป้องกันหรือชะลอความเสื่อมของเซลในอวัยวะต่างๆของร่างกาย
-
ป้องกันโรคที่เกิดจากภาวะทุพโภชนาการ เช่น โรคไขมันอุดตันในเส้น
เลือด
และควบคุมหรือลดอาการของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ
อาหารฟังก์ชั่น และประโยชน์
อาหารฟังก์ชั่นซุปไก่สกัดกับผลต่อการทำงานของสมองและทางกายด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา
ผนวกกับองค์ความรู้ในเรื่องของอาหารฟังก์ชั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์มุ่งความสนใจไปที่สารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่า
“ไบโอแอคทีฟ เปปไทด์” (Bioactive Peptide) ซึ่งหมายถึงอนุพันธ์ (ส่วนย่อย) ของโปรตีนที่ให้คุณค่าทางโภชนาการและส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย
และที่น่าสนใจคือ ไบโอแอคทีฟ เปปไทด์นี้จะไม่ส่งผลใด ๆ
กับร่างกายเมื่อมันถูกยึดติดอยู่ในรูปของโปรตีนซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่และออกฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อโปรตีนซึ่งเป็นส่วนตั้งต้นได้ผ่านกระบวนการในการย่อยสลายแล้วเท่านั้น
ไบโอแอคทีฟ เปปไทด์
ประกอบด้วยโครงสร้างย่อยคือ กรดอะมิโนตั้งแต่ 2 ถึง 20 ตัว
ซึ่งจากการศึกษาพบว่าไบโอแอคทีฟ เปปไทด์
ให้ผลทางชีวภาพในแง่ของการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงการช่วยดูดซึมสารอาหาร
และลดความดันโลหิต ตลอดจนลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
ในบรรดาอาหารที่ประกอบด้วยไบโอแอคทีฟ
เปปไทด์นั้น
ซุปไก่สกัดจัดว่าเป็นหนึ่งในอาหารฟังก์ชั่นที่มีรายงานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย
มีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองดังตัวอย่างการค้นคว้าวิจัยทางคลินิก
ดังนี้
·
การศึกษาของ Dr.Nagai
และคณะ3 จากประเทศญี่ปุ่น
ได้วิจัยเรื่องของซุปไก่สกัดต่อความเหนื่อยล้าของสมอง
ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทางสุขภาพ Applied Human Science ในปี
ค.ศ. 1996 โดยทำการศึกษาวิจัยกับนักศึกษาชายที่ไม่เคยดื่มซุปไก่สกัดมาก่อน
กลุ่มหนึ่งให้ดื่มซุปไก่สกัด
และอีกกลุ่มหนึ่งดื่มซุปไก่หลอกทุกเช้าติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน
แล้วให้ทั้งสองกลุ่มทำแบบทดสอบคณิตศาสตร์และการจดจำในระยะสั้น
พบว่ากลุ่มที่ดื่มซุปไก่สกัดมีประสิทธิภาพในการใช้สมองเพิ่มขึ้นและมีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานน้อยลง
เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ดื่มซุปไก่หลอก
ซึ่งอาจแสดงถึงความมีสมาธิและความรู้สึกสงบของจิตใจที่เพิ่มขึ้น(เอกราช บำรุงพืช,2554)
อาหารฟังก์ชั่นกับความจำเป็นต่อร่างกาย
อาหารฟังก์ชั่นไม่ใช่อาหารที่ขาดแล้วจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ
อาหารฟังก์ชั่นเพียงช่วยบำรุงร่างกายด้วยสารอาหาร เสริมสร้างการทำงานของร่างกายบางจุด
ทั้งนี้ทั้งนั้นอาหารฟังก์ชั่นก็คืออาหารที่สะกัดจากอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน(อาณดี
นิติธรรมยง,2556
งา
เป็นแหล่งของแคลเซียม และยังมีสารเซซามินซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษ(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
พรุน นอกจากมีใยอาหารจำนวนมากยังมีกรดนีโอโคลโรเจนนิกและกรดโคลโรเจนนิกซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดรวมทั้งป้องกันกระดูกพรุนได้
|
(พิศณุ
แด้งประเสริฐ,2553)
|
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
อย่างบิลเบอร์รี่ ที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ คือ สารแอนโธไซยานิน
ซึ่งเป็นสารที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
เป็นต้น(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
น้ำมันปลา
ประกอบด้วยกรดไขมัน ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือโอเมก้า-3 ที่สามารถลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต
ต้านการอักเสบ และช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
โสม
มีสารจินเซนโนไซด์ ที่ทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงช่วยลดความเมื่อยล้า(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
ซุปไก่
ของชาวจีนที่ถูกแปรรูปไปเป็นซุปไก่สกัด ซึ่งให้โปรตีนและเปปไทด์
รวมทั้งสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ บางชนิดที่
เกิดจากการตุ๋นซึ่งไม่พบในการกินเนื้อไก่โดยตรง(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
เห็ด ทางการแพทย์
เช่น เห็ดไมตาเกะ เห็ดยามาบูชิตาเกะ เห็ดฮิเมะมัตสึทาเกะ ถั่งเฉ้า เห็ดหลินจือ
หรือเรอิชิเห็ดชิตาเกะ และเห็ดแครง เป็นต้น(พิศณุ แด้งประเสริฐ,2553)
อ้างอิง
มัลลิกา นามสง่า.(2554,29 มกราคม).
อาหารฟังก์ชั่นเทรนใหม่เสริมสุขภาพ.โพสทูเดย์.หน้า21.
พิศณุ แด้งประเสริฐ.(2553) .
อาหารเพื่อสุขภาพ. บทความนิตยสารแม่บ้าน.หน้า25.
เอกราช
บำรุงพืชน์.2554.อาหารฟังก์ชั่น.(ออนไลน์).แหล่งที่มา: http://www.sethaputra.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539331420 . 3.กันยายน 2559.
บรรณานุกรม
1. ปิ่นมณี ขวัญเมือง. 2548. ฟังชันนัลฟูดส์ : อาหารเพื่อสุขภาพ. วารสารครุสาสตร์อุตสาหกรรมที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน-กันยายน
2. สรจักร ศิริบริลักษณ์. 2549. เภสัชโภชนาการ 2. กรุงเทพฯ.
บริษัท ยูเคชันจำกัด.
3.ชนิดา ปโชติการ. ศัลยา คงสมบูรณ์เวช และอภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์. 2548. อาหารและสุขภาพ. กรุงเทพฯ: บริษัท เสริมมิตร.
4. ธานี
เมฆะสุวรรณดิษฐ์ และคณะ. (2546)
ตำราเภสัชบำบัด.กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด.
5.
สถาบันวิจัยสมุนไพร
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2548. ปัญจขันธ์.
กรุงเทพฯ: บริษัท มิราคูส.
6. Charalampopoulos, D., Wang, R.,
Pandiella, S.S. and Webb,C (2002) Appication
of cereals and cereal compilcation in Functional Foods : a review. International
Journal of Food Microbiology.
79:131-141.
7. Duranti, M. (2011) Grain Iegume proteins
and nutraceutical properties. Fitoterapia. 77: 67-82
1. Arai, S. Studies on functional foods in
Japan—stateof the art. Biosci. Biotechnol. Biochem. 1996. 60:9–15.
2. Committee on Opportunities in the Nutrition
and FoodSciences, Food and Nutrition Board, Institute ofMedicine Enhancing the
food supply. In: Opportunitiesin the Nutrition and Food Sciences: Research
Challengesand the Next Generation of Investigators(Thomas, P. R. & Earl,
R., eds.), 1994. pp.98-142.
3. International Life Sciences Institute Safety
assessmentand potential health benefi ts of food componentsbased on selected
scientifi c criteria. ILSI NorthAmerica Technical Committee on Food
Componentsfor Health Promotion. Crit. Rev. Food Sci. Nutr. 1999.39: 203–316.
4. American Dietetic Association Position of
the AmericanDietetic Association: functional foods. J. Am.Diet. Assoc. 1999.
99: 1278–1285.
5. Choudhary Raghuveer and Tandon RV,
consumptionof functional food and heal thconcerns. Pak J Physiol,2009. 5(1)
6. รัตนวดี ณ นคร. สรีรวิทยาของการออกกำลังกาย[ออนไลน์], แหล่งที่มาwww.med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/.../Exercise_physiology.pdf
7. Ivy JL, Goforth HW Jr, Damon BM, McCauley
TR,Parsons EC, Price TB: Early postexercise muscle
glycogen recovery is enhanced with a
carbohydrateproteinsupplement. App Physiol 2002, 93: 1337-
1344.
8. Brass EP: Supplemental carnitine and
exercise. AmJ Clin Nutr 2000, 72: 618S-623S.
9. Ryu S, Choi SK, Joung SS, Suh H, Cha YS, Lee
S,Lim K: Caffeine as a lipolytic food component
increases endurance performance in rats and
athletes.J Nutr Sci Vitaminol 2001, 47: 139-146.
10. Murray, R., Fluid needs in hot and cold
environments.Int J Sports Med, 1995. 5(S62-S73).
11. Gisolfi , C.V., D.R. Lamb, and E.R. Nadel,
Temperatureregulation during exercise:An overview, in Perspectivesin Exercise
Science and Sports medicine:Exercise, heat and thermoregulation, J.
Werner,Editor. 1993, Brown and Benchmark: Dubuque.
12. Montain, S.J. and E.F. Coyle, Infl uence of
gradeddehydration on hyperthermia and cardiovascular driftduring exercise. J
Appl Physiol, 1992. 73: p. 1340-1350.
13. Gonzalez-Alonso, J., et al., Dehydration
markedlyimpairs cardiovascular function in hyperthermic enduranceathletes
during exercise. J Appl Physiol,1997. 82: p. 1229-1236.
14. Montain, S.J. and E.F. Coyle, Infl uence of
gradeddehydration on hyperthermia and cardiovascular driftduring exercise.
Journal of Applied Physiology, 1992.73: p.1340-1350.
15. Sanders, B., T.D. Noakes, and S.C. Dennis,
Waterand electrolyte shifts with partial fl uid replacementduring exercise. Eur
J Appl Physiol, 1999. 80: p.318-323.
16. Shirreffs, S.M., L.E. Armstrong, and N.
Samuel,Fluid and electrolyte needs for preparation and recoveryfrom training
and competition. Journal ofsports sciences, 2004. 22: p. 57-63.
17. Horswill, C.A., Effective fl uid
replacement. Int J SportNutr, 1998. 8(2): p. 175-95.
18. Below, P.R. and R. Mora-Rodriguez, Fluid
and carbohydrateingestion independently improve performance during 1 hour of
intense exercise. Med SciSports Ex, 1995.27(2): p. 200-210.
19. Walsh, R.M., et al., Impaired high
intensity cyclingperformance time at low levels dehdyration. Int JSport Med,
1994. 15: p. 392-398.
20. Sawka, M.N. and K.B. Pandolf, Effects of
body waterloss on physiological function and exercise performance, in
Perspectives in Exercise Science and Sports Medicine: Fluid Homeostasis during
exercise,C.V. Gisolfi and D.R. Lamb, Editors. 1990: UnitedStates of America.
21. Phillips SM: Protein requirements and
supplementationin strength sports. Nutrition 2004, 20: 689-695.
22. Tarnopolsky MA: Protein requirements for
enduranceathletes. Nutrition 2004, 20: 662-668.
23. Ha E, Zemal MB: Functional properties of
whey, wheycomponents,and essential amino acids: mechanismsunderlying health
benefi ts for active people (review).J Nutr Biochem 2003, 14: 251-258.
24. Esmarck B, Andersen JL, Olsen S, Richter
EA, MizunoM, Kjaer M: Timing of postexercise protein intakeis important for
muscle hypertrophy with resistancetraining in elderly humans. J Physiol 2001,
535:301-311.
25. Flakoll PJ, Judy T, Flinn K, Carr C, Flinn
S: Postexerciseprotein supplementation improves health andmuscle soreness
during basic military training inMarine recruits. J Appl Physiol 2004, 96:
951-956.
26. Borsheim E, Aarsland A, Wolfe RR: Effect of
anamino acid, protein, and carbohydrate mixture on netmuscle protein balance
after resistance exercise. Int J Sport Nutr Exerc Metab 2004,14: 255-271.
27. Shimomura Y, Murakami T, Nakai N, Nagasaki
M,Harris RA: Exercise promotes BCAA catabolism: effectsof BCAA supplementation
on skeletal muscleduring exercise. J Nutr 2004, 134: 1583S-1587S.
28. Castell LM: Glutamine supplementation in
vitro andin vivo, in exercise and in immunodepression. SportsMed 2003, 33:
323-345.
29. Paddon-Jones D, Borsheim E, Wolfe RR:
Potentialergogenic effects of arginine and creatine supplementation.J Nutr
2004,134: 2888S-2894S.
30. Flakoll P, Sharp R, Baier S, Levenhagen D,
Carr C,Nissen S: Effect of beta-hydroxy-beta-methylbutyrate,arginine, and
lysine supplementation on strength,functionality, body composition, and protein
metabolismin elderly women. Nutrition 2004, 20: 445-451.
31. Terjung RL, Clarkson P, Eichner ER,
Greenhaff PL,Hespel PJ, Israel RG, Kraemer WJ, Meyer RA,Spriet LL, Tarnopolsky
MA, Wagenmakers AJ, WilliamsMH: American College of Sports Medicine
roundtable. The physiological and health
effects oforal creatine supplementation. Med Sci Sports Exerc2000, 32: 706-717.
32. Alon T, Bagchi D, Preuss HG: Supplementing
withbetahydroxy- beta-methylbutyrate (HMB) to build andmaintain muscle mass: a
review. Res Commun MolPathol Pharmacol 2002, 111: 139-151.
33. Slater GJ, Jenkins D:
Beta-hydroxy-beta-methylbutyrate(HMB) supplementation and the promotion
ofmuscle growth and strength. Sport Med 2000, 30:105-116.
34. Gallagher PM, Carrithers JA, Godard MP,
SchulzeKE, Trappe SW: Beta-hydroxy-beta-methylbutyrateingestion, Part 1:
effects on strength and fat freemass. Med Sci Sport Exerc 2000, 32: 2109-2115.
35. Panton LB, Rathmacher JA, Baier S, Nissen
S: Nutritionalsupplementation of the leucine
metabolitebeta-hydroxy-betamethylbutyrate (hmb) during resistancetraining.
Nutrition2000, 16: 734-739.
36. Proske U, Morgan DL: Muscle damage from
eccentricexercise: mechanism, mechanical signs, adaptationand clinical
applications. J Physiol 2001, 537: 333-345.
37. Aoi W, Naito Y, Takanami Y, Kawai Y, Sakuma
K,Ichikawa H, Yoshida N, Yoshikawa T: Oxidative
stress and delayed-onset muscle damage
afterexercise. Free Radic Biol Med 2004, 37: 480-487.
38. Phillips T, Childs AC, Dreon DM, Phinney S,
LeeuwenburghC: A dietary supplement attenuates IL-6and CRP after eccentric
exercise in untrained males.Med Sci Sports Exerc 2003, 35: 2032-2037.
39. Aoi W, Naito Y, Sakuma K, Kuchide M, Tokuda
H,Maoka T, Toyokuni S, Oka S, Yasuhara M,
Yoshikawa T: Astaxanthin limits
exercise-inducedskeletal and cardiac muscle damage in mice. AntioxidRedox
Signal 2003, 5: 139-144.
40. Marquez R, Santangelo G, Sastre J,
Goldschmidt P,Luyckx J, Pallardo FV, Vina J: Cyanoside chlorideand chromocarbe
diethylamine are more effectivethan vitamin C against exercise-induced
oxidativestress. Pharmacol Toxicol 2001, 89: 255-258.
41. Kato Y, Miyake Y, Yamamoto K, Shimomura Y,
OchiH, Mori Y, Osawa T: Preparation of a monoclonalantibody to
N(epsilon)-(hexanonyl)lysine: applicationto the evaluation of protective
effects of fl avonoidsupplementation against exercise-induced oxidative stress
in rat skeletal muscle. Biochem Biophys Res Commun 2000, 274: 389-393.
42. Petersen EW, Osrowski K, Ibfelt T, Richelle
M, Offord E, Halkjaer-Kristensen J, Pedersen BK: Effect of vitamin E
supplementation on cytokine response and on muscle damage after strenuous
exercise. Am J Physiol Cell Physiol 2001, 280: C1570-C1575.
43. Beaton LJ, Allan DA, Tarnopolsky MA, Tiidus
PM, Phillips SM: Contraction-induced muscle damage is unaffected by vitamin E
supplementation. Med Sci Sports Exerc 2002, 34: 798-805.
44. Beren J, Hill SL, Diener-West M, Rose NR:
Effect of pre-loading oral glucosamine HCl/chondroitin sulfate/ manganese
ascorbate combination on experimental arthritis in rats. Exp Biol Med (Maywood)
2001, 226: 144-151.
45. Suzuki Y, Nakao T, Maemura H, Sato M,
Kamahara K, Morimatsu F,Takamatsu K: Carnosine and anserine ingestion enhances
contribution of nonbicarbonate buffering. Med Sci Sports Exerc 2006,
38:334-338.
46. Harada R, Taguchi H, Urashima K, Sato M,
Omori T, Morimatsu F: Effects of a chicken extract on endu rance swimming in
mice. J Jpn Soc Nutr Food Sci 2002, 55: 73-78.
สมพงษ์ บัวแย้ม. (2554). ฟังก์ชั่น อาหารสายตรงต่อสุขภาพ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พงษ์สาส์น.
แก้ว กังสดาลอำไพ. (2554). ฟังก์ชั่นนอลฟู้ดอาหารเพื่อสุขภาพ. ฉลาดซื้อ, 61-63.
มัลลิกา นามสง่า.(2554,29 มกราคม). อาหารฟังก์ชั่นเทรนใหม่เสริมสุขภาพ.โพสทูเดย์.หน้า21.
พิศณุ แด้งประเสริฐ.(2553) .
อาหารเพื่อสุขภาพ. บทความนิตยสารแม่บ้าน.หน้า25.















